แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นตัวแทนจำหน่ายตั๋วเครื่องบินของจำเลย จำเลยได้กำหนดราคาตั๋วโดยสารในเส้นทาง กรุงเทพมหานคร-ฮ่องกง เป็นเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อโจทก์รับเงินค่าขายเป็นเงินบาท จึงต้องคิดในอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้อยู่ในขณะนั้นตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196 วรรคสอง โจทก์ร่วมได้ออกหนังสือค้ำประกันความรับผิดของโจทก์ในการเป็นตัวแทนให้แก่จำเลย เมื่อโจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยเพียงบางส่วนจำเลยจึงมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้ และมีสิทธิเรียกร้องบังคับเอากับโจทก์ร่วมตามพันธะแห่งสัญญาค้ำประกันที่มีต่อจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนหนังสือค้ำประกันของโจทก์ร่วม สัญญาตัวแทนขายทั่วไป และหนังสือขยายอายุการค้ำประกันดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยให้จำเลยรับเงิน 162,098.08 บาทไปจากโจทก์ ภายหลังโจทก์ยื่นฟ้องแล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกธนาคารกสิกรไทยจำกัดเข้ามาเป็นคู่ความในคดี ศาลชั้นต้นอนุญาตและหมายเรียกให้ธนาคารกสิกรไทย จำกัด เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมให้การว่าได้ออกหนังสือค้ำประกันตามฟ้อง และพร้อมที่จะชำระเงินให้จำเลยเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลย แต่ไม่เกินความรับผิดตามหนังสือค้ำประกัน จำเลยให้การว่า จำเลยมีสิทธิปฏิเสธการชำระหนี้บางส่วน ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยรับเงินชำระหนี้จำนวน162,098.08 บาทไปจากโจทก์ และคืนหนังสือค้ำประกันและหนังสือขยายอายุการค้ำประกันตามฟ้องให้แก่โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ทั้งสองฝ่ายแถลงรับกันประกอบพยานเอกสารฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายตั๋วเครื่องบิน และเป็นตัวแทนจำหน่ายตั๋วเครื่องบินของบริษัทจำเลย ตามสัญญาตัวแทนลงวันที่ 1ตุลาคม 2521 ปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดในประเทศบาห์เรน มีสำนักงานสาขาในประเทศไทย ประกอบธุรกิจการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางอากาศระหว่างประเทศ ในการนี้ธนาคารโจทก์ร่วมได้ออกหนังสือค้ำประกันความรับผิดของโจทก์ในการเป็นตัวแทนให้แก่จำเลยไว้เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 100,000 เหรียญสหรัฐ ต่อมาโจทก์จำเลยได้ตกลงเลิกสัญญากันเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2526 คดีมีข้อพิพาทกันเกี่ยวกับเงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินที่ยังต้องส่งคืนให้แก่จำเลยเฉพาะเส้นทางระหว่างกรุงเทพมหานคร-ฮ่องกง สำหรับเดือนกันยายน 2524 ถึงเดือนสิงหาคม 2525 ซึ่งโจทก์อ้างว่ายังค้างชำระอยู่เป็นจำนวน162,098.08 บาท แต่จำเลยโต้แย้งว่า ยังค้างชำระอยู่จำนวน1,265,885.08 บาท จำนวนที่แตกต่างกันดังกล่าวเนื่องจากโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกำหนดให้โจทก์ขายตั๋วโดยสารโดยคิดอัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 20.45 บาท อันเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเดิมที่จำเลยกำหนด แต่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยกำหนดราคาตั๋วโดยสารเป็นเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อโจทก์รับชำระราคาเป็นเงินบาทไทย จึงต้องคิดตามอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ซึ่งมีอัตรา 1เหรียญสหรัฐเท่ากับ 23 บาท อันเป็นเหตุให้จำเลยไม่ยอมรับชำระเงินจำนวนที่โจทก์ส่งคืนมาและใช้สิทธิบังคับธนาคารโจทก์ร่วมให้รับผิดตามพันธะแห่งสัญญาค้ำประกันที่มีต่อจำเลยปัญหาจึงมีว่า โจทก์ได้ขายตั๋วโดยสารตามอัตราเงินเหรียญสหรัฐเป็นเงินบาทไทย ตามที่จำเลยกำหนดดังข้อกล่าวอ้างตามฟ้อง หรือจำเลยเพียงแต่กำหนดราคาตั๋วโดยสารเป็นเงินเหรียญสหรัฐดังที่จำเลยให้การต่อสู้ พิเคราะห์แล้ว ในประเด็นพิพาทดังกล่าวปรากฏตามเอกสารโต้ตอบที่โจทก์จำเลยรับกันตามเอกสารหมาย จ.2 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2524 ที่จำเลยมีถึงโจทก์ในฐานะตัวแทนขายว่าจำเลยได้แจ้งกำหนดราคาค่าโดยสารเครื่องบินเป็นเงินเหรียญสหรัฐทั้งหมด เฉพาะเส้นทางกรุงเทพมหานคร-ฮ่องกง ได้กำหนดไว้ในราคา 85 เหรียญสหรัฐ เอกสารฉบับดังกล่าวซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในระยะนั้นเป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยได้กำหนดราคาตั๋วโดยสารให้โจทก์ขายเป็นเงินเหรียญสหรัฐโดยมิได้เทียบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทไทยไว้ อันเป็นข้อสนับสนุนข้อต่อสู้ตามคำให้การจำเลยที่ว่า จำเลยเพียงแต่กำหนดราคาตั๋วโดยสารสายกรุงเทพมหานคร-ฮ่องกง เป็นเงินเหรียญสหรัฐโดยมิได้กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทไทย ซึ่งก็เป็นการสอดคล้องกับเหตุผลที่ว่า เมื่อโจทก์รับชำระค่าตั๋วโดยสารเป็นเงินบาทก็น่าจะเทียบตามอัตราแลกเปลี่ยนตามทางการที่ใช้อยู่ในขณะนั้น มิฉะนั้นก็ย่อมไม่ตรงตามมูลค่าของเงินเหรียญสหรัฐที่จำเลยได้กำหนดเป็นราคาขายไว้หากโจทก์ยังคงเทียบตามอัตราแลกเปลี่ยนเก่าอันผิดจากความเป็นจริงในขณะนั้นและโดยเหตุที่โจทก์ได้จำหน่ายตั๋วโดยสารสายกรุงเทพมหานคร-ฮ่องกงทั้งเที่ยวเดียวและไปกลับโดยยังคงใช้อัตราแลกเปลี่ยนเดิมก่อนการลดค่าเงินบาท การที่โจทก์ได้ส่งยอดการขายประจำเดือนให้จำเลยทราบ ผู้จัดการฝ่ายรายได้จำเลยจึงได้ส่งใบเรียกเก็บเงินเพิ่มจากโจทก์ตามที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.5, จ.6 และเมื่อพิจารณาถึงจดหมายโต้ตอบลงวันที่ 22 เมษายน 2525 ที่โจทก์มีถึงจำเลยเมื่อถูกเรียกให้ชำระค่าขายเพิ่มดังกล่าวตามเอกสารหมายจ.7 โจทก์ก็ยังได้กล่าวในทำนองยอมรับความถูกต้องที่จำเลยส่งใบเรียกเก็บค่าขายเพิ่มจากที่ขาดไป หากแต่ได้อ้างเหตุความสับสนที่เกิดขึ้นจากการขายมารวม ทั้งอ้างว่าได้รับอนุมัติจากการติดต่อทางโทรศัพท์ถึงจำเลยโดยไม่ปรากฏหลักฐานข้อตกลงจากจำเลยแต่อย่างใดทั้งข้ออ้างว่าได้รับอนุมัติให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเดิมก็กลับขัดแย้งกับบันทึกโต้ตอบของจำเลยลงวันที่ 22 กันยายน 2525 ที่มีถึงโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งจำเลยได้เท้าความถึงบันทึกของโจทก์ที่มีถึงจำเลยลงวันที่ 2 กันยายน 2524 เกี่ยวกับการที่โจทก์ยังคงใช้อัตราแลกเปลี่ยนเดิม 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 20.45 บาท ว่าจำเลยยังมิได้รับอนุมัติจากสำนักงานใหญ่ของจำเลยในเรื่องนี้ อันทำให้จำเลยต้องมีบันทึกฉบับลงวันที่ 3 กันยายน 2524 สั่งให้ตัวแทนฝ่ายขายใช้อัตราแลกเปลี่ยนใหม่ และในบันทึกดังกล่าว ผู้จัดการจำเลยยังได้พิจารณาถึงความเสียเปรียบในการขายตั๋วโดยสารสายฮ่องกง และได้เสนอแนะให้ขายในราคาสุทธิ 73 เหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 1,680 บาทพยานหลักฐานที่โจทก์ส่งอ้างเป็นพยาน นอกจากไม่ปรากฏว่าจำเลยได้อนุมัติให้โจทก์รับเงินค่าขายตั๋วโดยสารเป็นเงินบาทโดยคิดอัตราแลกเปลี่ยนเดิมก่อนการลดค่าเงินบาทตามที่โจทก์กล่าวอ้างแล้ว ยังกลับแสดงว่าจำเลยได้กำหนดราคาขายตั๋วโดยสารสายกรุงเทพมหานคร-ฮ่องกงเป็นเงินเหรียญสหรัฐคำแถลงรับข้อเท็จจริงของจำเลยที่ว่าเดิมจำเลยแจ้งอัตราค่าตั๋วโดยสารเป็นเงินเหรียญสหรัฐโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 20.45 บาท จึงมีเหตุผลรับฟังตามที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่ามีความหมายเพียงว่าอัตราแลกเปลี่ยนในครั้งเดิมมีมูลค่าเท่ากับ 20.45 บาทเท่านั้น มิได้เป็นการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทให้โจทก์รับเงินค่าขายตั๋วโดยสารตามที่โจทก์กล่าวอ้างตามฟ้อง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้กำหนดราคาตั๋วโดยสารในเส้นทางกรุงเทพมหานคร-ฮ่องกง เป็นเงินเหรียญสหรัฐเมื่อโจทก์รับเงินค่าขายเป็นเงินบาทจึงต้องคิดในอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ซึ่งมีอัตรา 1 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 23 บาท ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196 วรรคสอง ดังนั้นหนี้ค่าขายตั๋วโดยสารเครื่องบินที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยจึงเป็นเงิน1,265,885.08 บาท ตามที่โจทก์ได้แถลงรับไว้แล้ว เมื่อโจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยเพียงบางส่วน จำเลยจึงมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้และมีสิทธิเรียกร้องบังคับเอากับโจทก์ร่วมตามพันธะแห่งสัญญาค้ำประกันที่มีต่อจำเลย คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น