คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5528/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวอ้างขึ้นในชั้นฎีกาโดยแนบหนังสือรับรองของปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอมาท้ายฎีกาว่า พ. ถึงแก่ความตายประมาณปี พ.ศ. 2475 เป็นการนำพยานเอกสารเข้าสู่สำนวนความโดยไม่ถูกต้องตามวิธีพิจารณาความและจำเลยไม่มีโอกาสซัก ค้านเกี่ยวกับเอกสารนี้หนังสือรับรองดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้ ก่อนถึงแก่ความตาย พ. สามี ข. เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและยกที่ดินพิพาทให้แก่วัด จำเลย โดยให้ ข. มีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิต จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทแล้วให้ ข. นำออกให้เช่าหาประโยชน์ตามเจตนาของ พ. ข. ก็ยอมรับสิทธิของจำเลยโดยระบุในสัญญาเช่าว่าที่ดินที่ให้เช่าเป็นของวัดจำเลย ที่ดินพิพาทตก เป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดจำเลย นับแต่ พ. ยกให้และจำเลยรับไว้แล้วเป็นต้นมา ข. เป็นเพียงผู้ครอบครองแทน ส่วน จ. หาได้ครอบครองไม่แม้ต่อมา ข. และ จ. จะได้ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทสืบต่อมา วัดจำเลยก็ยังมีสิทธิครอบครองเช่นเดิม เพราะโจทก์ต้องห้ามมิให้ยกอายุความต่อสู้กับวัดในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่ธรณีสงฆ์ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ มาตรา 34 การที่จำเลยได้ที่ดินพิพาทมา และสละบางส่วนไปโดยไม่ได้ลงทะเบียนการได้มาและจำหน่ายออกไปจากทะเบียนตามกฎกระทรวงฉบับที่ 2(พ.ศ. 2511) ออกตามความใน พ.ร.บ. คณะสงฆ์ฯ หาเป็นเหตุให้จำเลยเสียสิทธิในที่ดินพิพาทที่ได้รับมาไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2523 โจทก์ซื้อที่ดินจากนางเจิม จิระสถิตย์ และนางเขียวหวาน วัชระกาญจน์1 แปลง เนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 75 ตารางวา ตั้งอยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วเข้าครอบครองทำประโยชน์ ต่อมาเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2526 โจทก์ไปยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินออกไปทำการรังวัดสอบเขตแล้วจำเลยได้คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ และจำเลยได้ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวด้วย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินตามแผนที่เอกสารท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยไปยื่นคำร้องขอถอนการออกโฉนดที่ดินพิพาท ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่นายพุ่ม วัชระกาญจน์ ยกให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดจำเลยเมื่อประมาณ 50 ปีมาแล้ว นางเจิมและนางเขียวหวานไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทไม่มีอำนาจที่จะขายได้ จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทติดต่อกันมาประมาณ 50 ปี โจทก์หรือบุคคลใดมิได้โต้แย้งและฟ้องร้องภายใน 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่า นายพุ่มสามีนางเขียวหวานไม่เคยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเพราะนายพุ่มถึงแก่ความตายไปแล้วตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2475 และนางเขียวหวานเพิ่งซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายผัน มณีสุวรรณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2493 ตามเอกสารหมาย จ.17 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2523 นางเขียวหวานกับนางเจิม จิระสถิตย์ บุตรสาวได้ขายให้โจทก์ ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 ศาลฎีกาเห็นว่า ในข้อนี้โจทก์ไม่มีคำพยานบุคคลและพยานเอกสารใดมาสืบแสดงว่านายพุ่มถึงแก่ความตายตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2475 โจทก์เพิ่งกล่าวอ้างขึ้นในชั้นฎีกา และแนบหนังสือรับรองของปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอมาท้ายฎีกาว่านายพุ่มถึงแก่ความตายประมาณปี พ.ศ. 2475 เป็นการนำพยานเอกสารเข้าสู่สำนวนความโดยไม่ถูกต้องตามวิธีพิจารณาความและจำเลยไม่มีโอกาศซักค้านเกี่ยวกับเอกสารนี้ หนังสือรับรองดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้… สรุปแล้วข้อเท็จจริงเป็นอันฟังได้ว่า ก่อนถึงแก่ความตายนายพุ่มสามีนางเขียวหวานเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท และนายพุ่มได้ยกที่ดินให้แก่วัดจำเลยแล้วโดยให้นางเขียวหวานมีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิต และจำเลยก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว นายเขียวหวานก็ยอมรับสิทธิของจำเลยด้วยดีแล้ว โดยเมื่อแบ่งที่ดินพิพาทแล้วนางเขียวหวานก็ยอมรับสิทธิของจำเลยด้วยดีแล้ว โดยเมื่อแบ่งที่ดินพิพาทให้เช่าเป็นล็อค ๆ ก็ได้ระบุในสัญญาเช่าหลายฉบับว่าที่ดินที่ให้เช่านั้นเป็นที่ดินของวัดจำเลย ส่วนการที่จำเลยได้ที่ดินพิพาทมาและสละที่ดินพิพาทบางส่วนไปโดยไม่ได้ลงทะเบียนการได้มาและจำหน่ายออกไปจากทะเบียนตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 นั้น หาได้เป็นเหตุให้จำเลยเสียสิทธิในที่ดินพิพาทที่ได้รับมาไม่ ที่ดินพิพาทได้ตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดจำเลยตั้งแต่นายพุ่มยกให้และจำเลยรับไว้แล้วเป็นต้นมานางเขียวหวานเป็นเพียงผู้ครอบครองแทน ส่วนนางเจิมหาได้ครอบครองไม่แม้ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2523 นางเขียวหวานและนางเจิมจะได้ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 และโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทสืบต่อมาก็ตาม วัดจำเลยก็ยังคงมีสิทธิครอบครองเช่นเดิมเพราะโจทก์ต้องห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่ธรณีสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505มาตรา 34…”
พิพากษายืน.

Share