แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การพิจารณาถึงความหมายของคำพิพากษาเพื่อปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้อง จะต้องพิจารณาจากคำพิพากษาทั้งฉบับมิใช่แต่เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง
ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยไว้ชัดเจนว่าจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันส่งมอบ รถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์หากไม่ส่งมอบคืนก็ให้ใช้ราคาแทนพร้อมกับค่าเสียหาย แม้ในตอนท้ายของ คำพิพากษาจะมิได้ระบุว่ารถยนต์ที่จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ส่งมอบแก่โจทก์จะต้องอยู่ในสภาพเช่นไรก็ตาม แต่ก็พึงเป็นที่เข้าใจได้ว่ารถยนต์จะต้องอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีดังที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยไว้ในตอนต้น หากรถยนต์ไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ก็เท่ากับจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตรงตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับรถยนต์และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติการชำระหนี้ตาม คำพิพากษาลำดับที่สองต่อไปได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ ๑๙๒,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๙๒,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๙ ซึ่งเป็นวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายให้โจทก์อีกเดือนละ ๘,๐๐๐ บาท นับถัดจาก วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคาแทน แต่ทั้งนี้ไม่เกิน ๕ เดือน แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑
ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลว่า เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ แถลงขอส่งมอบรถยนต์พิพาทในสภาพใช้การได้แก่โจทก์ พร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษาและได้นำค่าเสียหายตามคำพิพากษาไปวางที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดราชบุรีในวันที่ ๑๓ เดือนเดียวกัน วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๒ โจทก์แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าไม่สามารถรับรถยนต์พิพาทได้เพราะรถไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ ต่อมาวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า จำเลยที่ ๑ นำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปวางทรัพย์ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีและได้ชำระหนี้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่ากรณียังมีข้อโต้แย้ง จึงขอให้ศาลมีคำสั่งในเรื่องถอนการยึดทรัพย์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ นำรถยนต์ตามคำพิพากษาส่งคืนให้โจทก์โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับรถยนต์ไว้แล้ว ส่วนค่าเสียหายอื่นจำเลยที่ ๑ ชำระครบถ้วนแล้ว จึงให้ถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน จำเลยที่ ๑ ไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาชั้นฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิปฏิเสธไม่รับมอบรถยนต์ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบแก่โจทก์หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า รถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ ส่งมอบแก่โจทก์อยู่ในสภาพไม่สามารถใช้การได้ หากโจทก์ยินยอมรับรถยนต์ดังกล่าวย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น เห็นว่า ในคดีเดิมศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยไว้ชัดเจนว่าจำเลยที่ ๑ ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันส่งมอบรถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์ หากไม่ส่งมอบคืนก็ให้ใช้ราคาแทนพร้อมกับค่าเสียหาย แม้ในตอนท้ายของคำพิพากษาที่พิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์จะมิได้ระบุว่ารถยนต์ที่จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ส่งมอบแก่โจทก์จะต้องอยู่ในสภาพเช่นไรก็ตาม แต่ก็พึงเป็นที่เข้าใจได้ว่ารถยนต์ที่จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ส่งมอบ แก่โจทก์จะต้องอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีดังที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้วในตอนต้น เพราะการพิจารณาถึงความหมายของคำพิพากษาเพื่อปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้อง จะต้องพิจารณาจากคำพิพากษาทั้งฉบับมิใช่แต่เฉพาะส่วนใด ส่วนหนึ่ง ดังนั้น หากรถยนต์ไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีแล้ว การที่จำเลยที่ ๑ ส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ก็เท่ากับจำเลยที่ ๑ มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตรงตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับรถยนต์และ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาลำดับที่สองต่อไปได้ ทั้งคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๐ และออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน ๓๐ วัน ในวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๑ จำเลยทั้งสองทราบคำบังคับแล้วไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอศาลออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๑ และมีการยึดทรัพย์จำเลยที่ ๑ เพื่อบังคับตามคำพิพากษาวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๑ หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ จึงนำรถยนต์มาส่งมอบแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาในวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๒ นับเป็นระยะเวลาปีเศษนับแต่ศาลมีคำบังคับจำเลยที่ ๑ จึงเพิ่งนำรถยนต์มาส่งมอบแก่โจทก์ ในชั้นแรกเมื่อ เจ้าพนักงานบังคับคดีตรวจดูรถยนต์แล้วปรากฏว่าไม่มีหมายเลขทะเบียน จึงไม่ทราบว่าเป็นรถยนต์คันเดียวกับที่ศาลมีคำพิพากษาหรือไม่ แสดงว่าจำเลยที่ ๑ ใช้รถยนต์อย่างไม่ดูแลรักษาเพราะแม้กระทั่งทะเบียนรถก็ไม่มี ดังนั้น การที่โจทก์ไม่ยอมรับรถยนต์โดยอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติการชำระหนี้ไม่ถูกต้องตรงตามคำพิพากษาเพราะรถยนต์คัน ดังกล่าวไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดี จึงเป็นเรื่องที่มีเหตุผลและเป็นการกระทำโดยชอบ ที่ศาลชั้นต้นด่วนมีคำสั่งให้โจทก์รับมอบรถยนต์และถอนการยึดทรัพย์จำเลยที่ ๑ โดยมิได้ไต่สวนให้ได้ความเสียก่อนว่ารถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ ส่งมอบ แก่โจทก์มีสภาพเช่นไรจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนว่า รถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ ส่งมอบเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์มีสภาพอย่างใด แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี