แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อนำที่พิพาทที่ถูกเวนคืนไปปลูกฉางข้าวให้เช่าแม้ข้างฉางนั้นจะมีถนนโรยหินเชื่อมถนนซึ่งสร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ของพ.ร.ก.เวนคืนฯ 2472 ดังนี้หาเรียกว่าได้ทำที่พิพาทเป็นถนนขึ้นแล้วตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก.เวนคืนฯ 2472 ไม่ ต้องคืนที่พิพาทให้แก่เจ้าของ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินของโจทก์โฉนดที่ 2189 ได้ถูกเวนคืนโดยพ.ร.ก.เพื่อสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์และสร้างคมนาคมเชื่อมจังหวัดพระนครและธนบุรีเป็นเนื้อที่ 3 งาน 56 ตารางวา โดยโจทก์ไม่ได้รับราคาสำหรับที่ดิน เพราะต้องห้ามตามมาตรา 3 อนุมาตรา 3 แห่งพ.ร.ก.ดังกล่าว
ที่ดินดังกล่าวทางราชการใช้ทำถนนเพียง 36 ตารางวา ส่วนที่เหลือประมาณ 3 งาน 21 ตารางวาคงปล่อยทิ้งเป็นที่ว่างไม่ได้จัดทำตามวัตถุประสงค์แห่งกฎหมายแต่อย่างใด ปรากฏตามแผนที่ท้ายฟ้อง ขอให้ศาลบังคับคืนแก่โจทก์
กระทรวงมหาดไทยตัดฟ้องว่าโฉนดเลขที่ 2189 รายนี้โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ เพราะศาลแพ่งได้พิพากษาให้โจทก์โอนขายให้แก่นางประทุมตามคดีแดงที่ 184/2488 และปัจจุบันกรรมสิทธิ์ตกทอดไปยังนางไพโรจน์ ปัจจุสานนท์ โดยนางประทุมขายให้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืน ที่ดินรายนี้ได้ถูกเวนคืนเพื่อตัดถนนตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ฯ 2472 กรรมสิทธิ์ตกเป็นของรัฐบาลและปัจจุบันก็ตกอยู่ในความครอบครองดูแลของเทศบาลนครธนบุรี โจทก์ไม่มีทางเรียกคืน
ต่อมานางไพโรจน์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างว่าที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นของผู้ร้องตามคำพิพากษาฎีกาในคดีแดงที่ 184/2484 โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ ศาลอนุญาตให้นางไพโรจน์เข้าเป็นจำเลยร่วม
คดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาครั้งหนึ่งแล้ว ศาลฎีกาพิพากษาโดยคำพิพากษาฎีกาที่ 222/2495 วินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์เสนอขายที่ดินให้แก่พระยาราชพินิจจัยนั้นทั้งสองฝ่ายได้รู้และได้เข้าใจกันอย่างแจ่มแจ้งว่าที่ดินตามโฉนดที่ 2189 นั้น เนื้อที่ส่วนหนึ่งได้ถูกโอนกรรมสิทธิ์ไปเป็นของรัฐบาลแล้วโดยการเวนคืน ตามข้อกฎหมายจักต้องถือว่าในขณะที่ถูกเวนคืนนั้น โจทก์มีที่ดินอยู่ 2 แปลงแปลงหนึ่งได้ถูกเวนคืนกรรมสิทธิ์ไปเป็นของรัฐบาลแล้ว อีกแปลงโจทก์คงถือกรรมสิทธิ์ต่อมาจนถูกศาลบังคับให้โอนขายให้แก่พระยาราชพินิจฉัยศาลฎีกาจึงเห็นว่า หากที่ดินที่ถูกเวนคืนไปนั้น รัฐบาลมิได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินส่วนใดตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้รัฐบาลต้องโอนคืนให้แก่ผู้ถูกเวนคืน พิพากษาให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่ตามนับดังกล่าวมานี้
ศาลแพ่งทำการพิจารณาใหม่ วินิจฉัยว่ารัฐบาลได้จัดทำถนนลงในที่พิพาทอันเป็นถนนบริเวณสะพานแล้ว พิพากษาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืน ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยคืนที่ดินภายในรูปเส้นสีเขียวตามแผนที่ท้ายฟ้อง (ที่โจทก์ฟ้องเรียกคืน) ให้แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าที่พิพาทภายในรูปเส้นสีเขียวตามแผนที่ท้ายฟ้องเทศบาลนครธนบุรีได้ให้บริษัทข้าวไทยฯ เช่าไปปลูกโรงเก็บของหรือฉางข้าวขึ้นใช้ในกิจการของบริษัทข้าวไทย มีโรงกุดังปลูกเกือบเต็มเนื้อที่ แม้ด้านข้างโรงกุดังทางทิศตะวันออกมีถนนโรยหินเชื่อมกับถนนบริเวณสะพาน ดังนี้แสดงให้เห็นว่าที่พิพาทภายในรูปเส้นสีเขียวหาได้ทำเป็นถนนขึ้นตามวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์เชื่อมจังหวัดพระนครและธนบุรี พ.ศ. 2472 นั้นแต่อย่างใดไม่ ฝ่ายจำเลยเองก็มิได้โต้แย้งหรือนำสืบแสดงแผนที่คัดค้านแผนที่ที่โจทก์ระบุอ้างต่อศาลอย่างไร เป็นแต่กล่าวคลุม ๆ ว่าไม่ยอมรับรองแผนที่ของโจทก์ แต่ก็มิได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น พิพากษายืน