คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2091/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยขับรถยนต์กระบะให้ ม. นั่งที่กระบะรถไปจอดดัก รออยู่ที่สถานีบริการน้ำมัน พอ อ. ขับรถยนต์นั่งผ่านมา จำเลยก็ขับรถตามรถยนต์ของ อ. ไป แล้วขับแซง ขึ้นหน้าให้ ม. ใช้อาวุธปืนยิงไปยังรถที่ อ. ขับกระสุนปืนถูก ก. ซึ่งนั่งอยู่ในรถที่คอเส้นโลหิตดำขาด จากนั้นจำเลยหยุดรถให้ ม. หนีไป พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยร่วมกับ ม. กระทำการโดยไตร่ตรอง ไว้ก่อน เมื่อ ก.ไม่ถึงแก่ความตายเพราะแพทย์รักษาได้ทันท่วงที จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง ไว้ก่อนและในกรณีเช่นนี้ต้องถือว่ารถยนต์กระบะเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 33 ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288,289,80,83 นั้น เห็นว่าเมื่อปรับบทลงโทษตามมาตรา 289 แล้ว ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288 อีก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า าจำเลยกับพวกร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 80, 83 และริบของกลาง
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289, 80, 83 ให้ลงโทษตามมาตรา 289, 80, 83 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ประกอบด้วยมาตรา 53 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยขับรถยนต์ปิคอัพพานายมานะหรือณรงค์วงษ์คำ จากอำเภอบ้านไผ่ไปยังอำเภอเมืองขอนแก่น เมื่อไปถึงอำเภอเมืองขอนแก่นแล้วจำเลยขับรถไปจอดที่สถานีบริการน้ำมันจนเวลาประมาณ 20 นาฬิกา นายมานะให้จำเลยขับรถยนต์ปิคอัพนั้นตามรถยนต์นั่งที่นายอนุวัฒน์ขับกลับมาทางอำเภอบ้านไผ่โดยนายมานะนั่งที่กระบะรถ พอห่างอำเภอบ้านไผ่ประมาณ 7 กิโลเมตร นายมานะให้จำเลยขับรถแซงรถยนต์นั่งดังกล่าวขณะที่รถแซงกันนั้นเองนายมานะใช้อาวุธปืนยิงไปยังรถยนต์นั่งที่นายอนุวัฒน์ขับกระสุนปืนถูกนางกนกรัตน์ภรรยาของนายอนุวัฒน์ที่คอเป็นบาดแผลปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยร่วมกับนายมานะกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าจำเลยกับนายมานะรู้จักกันมาก่อนเกิดเหตุประมาณ 7-8 ปีแล้ว การที่นายมานะให้จำเลยขับรถยนต์ปิคอัพพานายมานะไปยังอำเภอเมืองขอนแก่นแล้วไปจอดรถรออยู่ที่สถานีบริการน้ำมันจนเวลาประมาณ 20 นาฬิกานั้นหากนายมานะนัดพบกับนายอนุวัฒน์ที่สถานีบริการน้ำมันดังกล่าวนายมานะคงบอกให้จำเลยทราบด้วย และเมื่อนายมานะเห็นนายอนุวัฒน์ขับรถยนต์นั่งผ่านตรงที่นายมานะรอ นายมานะก็ต้องเรียกนายอนุวัฒน์ให้จอดรถในขณะนั้นแล้ว อนึ่ง พฤติการณ์ของจำเลยและนายมานะในเวลาต่อมา เมื่อนายอนุวัฒน์ขับรถยนต์นั่งผ่านไปแล้ว นายมานะให้จำเลยขับรถยนต์ปิคอัพติดตามรถยนต์นั่งที่นายอนุวัฒน์ขับไปโดยนายมานะนั่งที่กระบะรถ จนกระทั่งอีก 7 กิโลเมตรจะถึงอำเภอบ้านไผ่ตรงนั้นเป็นป่าละเมาะไม่มีบ้านคนอาศัยและไม่มีแสงสว่าง นายมานะสั่งจำเลยให้บับรถยนต์ปิคอัพแซงรถยนต์นั่งที่นายอนุวัมน์ขับโดยไม่มีเหตุผล จำเลยก็ปฏิตาม ครั้นนายมานะใช้อาวุธปืนยิงไปที่รถยนต์นั่งที่นายอนุวัฒน์ขับและกระสุนปืนถูกนางกนกรัตน์แล้ว นายมานะสั่งจำเลยให้หยุดรถแล้วนายมานะหลบหนีไป จำเลยก็ปฏิบัติตามอีกพฤติการณ์ของจำเลยตั้งแต่ต้นในการที่ขับรถยนต์ปิคอัพให้นายมานะนั่งที่กระบะรถไปจอดที่สถานีบริการน้ำมัน และรอจนนายอนุวัฒน์ขับรถยนต์นั่งผ่านมา ต่อจากนั้นจำเลยขับรถยนต์ปิคอัพให้นายมานะนั่งที่กระบะรถตามรถยนต์นั่งที่นายอนุวัฒน์ขับไป และขับแซงให้นายมานะใช้อาวุธปืนยิงไปถูกนางกนกรัตน์ แล้วจำเลยหยุดรถให้นายมานะหนีไปนั้น เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมในการที่นายมานะใช้อาวุธปืนยิงนายอนุวัฒน์และนางกนกรัตน์ด้วย นอกจากนี้ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุให้พนักงานสอบสวนถ่ายภาพไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย ป.จ. 1,จ.2, จ.5 และ จ.6 ตามลำดับ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างในคำแก้ฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้รับจ้างนายมานะขับรถไปยังอำเภอเมืองขอนแก่นจำเลยเรียกนายมานะให้นั่งข้างหน้ารถแล้ว นายมานะอ้างว่าร้อนขอนั่งที่กระบะรถ จำเลยเป็นเพียงผู้รับจ้างไม่อาจบังคับผู้ว่าจ้างได้จำเลยมิได้ร่วมกับนายมานะกระทำผิดนั้น เห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ไปรอนายอนุวัฒน์ที่สถานีบริการน้ำมันแล้วขับรถตามและแซงรถยนต์นั่งที่นายอนุวัฒน์ขับไปตามที่นายมานะสั่งจนกเกิดเหตุนั้น เชื่อว่าจำเลยทราบว่านายมานะนั่งที่กระบะรถเพื่อสะดวกในการใช้อาวุธปืนยิงมากกว่า อนึ่ง โจทกืนำสืบว่า ภายหลังเกิดเหตุแล้วร้อยตำรวจเอกพรศักดิ์ตามไปพบรถยนต์ปิคอัพของจำเลยที่บ้านจำเลยและสอบถาม จำเลยก็ปฏิเสธว่ามิได้ขับรถออกจากบ้านเลย ครั้นร้อยตำรวจเอกพรศักดิ์สอบถามจำเลยว่าเหตุใดเครื่องยนต์ของรถยนต์ดังกล่าวจึงร้อน จำเลยจึงยอมรับว่าขับรถพานายมานะไปอำเภอเมืองขอนแก่น แต่ก็ไม่ยอมแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นจนกระทั่งตำรวจพบปลอกกระสุนปืนที่กระบะรถยนต์ปิคอัพของจำเลยจำเลยจึงรับสารภาพหากนายมานะว่าจ้างจำเลยให้ขับรถไปยังอำเภอเมืองขอนแก่นและจำเลยมิได้ร่วมกระทำผิดด้วย จำเลยคงแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ร้อยตำรวจเอกพรศักดิ์ทราบตามความเป็นจริงแล้ว ข้ออ้างตนคำแก้ฎีกาของจำเลยจึงไม่น่าเชื่อ การที่จำเลยร่วมกับนายมานะขับรถไปดักรอนายอนุวัฒน์ที่สถานีบริการน้ำมัน แล้วต่อมานายมานะได้ใช้อาวุธปืนยิงถูกนางกนกรัตน์ที่คอเส้นโลหิตดำขาดนั้น เป็นการกระทำที่จำเลยกับนายมานะไตร่ตรองไว้ก่อน และแพทย์รักษาบาดแผลที่นางกนกรัตน์ถูกยิงได้ทันท่วงที นางกนกรัตน์จึงไม่ถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง รถยนต์กระบะของกลางคดีนี้เมื่อฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับนายมานะวางแผนฆ่าผู้เสียหายโดยใช้รถดังกล่าวไปดักรอผู้เสียหายที่สถานีบริการน้ำมันและขับรถตามรถผู้เสียหายไป แล้วนายมานะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายขณะรถยนต์กระบะกำลังแซงรถของผู้เสียหายขึ้นไปดังนี้ รถยนต์กระบะจึงเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นแต่ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 80, 83 นั้น เห็นว่าเมื่อปรับบทลงโทษตามมาตรา 289 แล้วก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288 อีก”
พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,80, 83 และให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share