แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
บนถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรง มีรถยนต์กระบะของจำเลยแล่นมาเพียงคันเดียว แม้โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานเห็นตอนที่รถจักรยานยนต์ของผู้ตายถูกชนก็ตาม แต่ภิกษุ จ. ซึ่งขับรถจักรยานยนต์สวนกับรถยนต์กระบะสีน้ำเงินที่ชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายก็เห็นแทบจะในทันทีทันใดทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ และห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตรส่วน ท. ซึ่งรู้จักจำเลยมานานเพราะเป็นเพื่อนบ้านกันก็เห็นจำเลยขับรถยนต์กระบะคันดังกล่าวเป็นประจำ นอกจากนี้เมื่อนำรถจักรยานยนต์ของผู้ตายและรถยนต์กระบะของจำเลยมาเปรียบเทียบร่องรอยที่เกิดขึ้นแล้วสามารถเข้ากันได้ และจากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญตามหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์พบว่า เศษสีฟ้าที่ปลายคันเบรกรถจักรยานยนต์และที่คอปกเสื้อที่หน้าอกของผู้ตายมีลักษณะและคุณสมบัติน่าเชื่อว่าเป็นสีฟ้าชนิดเดียวกับสีฟ้าของรถยนต์จำเลย แม้จะไม่สามารถบอกยี่ห้อสีได้ก็มิใช่ข้อพิรุธ แต่การที่จำเลยอ้างว่านำรถไปซ่อมปะผุแล้วซื้อสีมาพ่นเองกลับเป็นพิรุธ เพราะรถมีรอยซ่อมข้างขวาเพียงด้านเดียวเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมสอดคล้องต้องกัน โดยเฉพาะเจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทั้งได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด จึงมีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291
เหตุบรรเทาโทษเพราะรับสารภาพนั้นจะต้องให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา การที่เจ้าพนักงานตรวจสอบพบการกระทำผิดจากรถยนต์ของจำเลยที่ยึดมาแล้วจึงได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติม แม้จำเลยไม่ให้การรับสารภาพก็ย่อมพิสูจน์ความผิดได้โดยง่าย จึงเป็นการจำนนต่อหลักฐานไม่สมควรลดโทษให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียนน.-0208 สระบุรี ไปตามถนนสายบ้านดอน – วิหารแดง จากอำเภอวิหารแดงมุ่งหน้าไปวัดบ้านดอนด้วยความเร็วสูงโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่นและขับล้ำเข้าไปในทางเดินรถที่แล่นสวนมา ชนกับรถจักรยานยนต์ที่นายพิชิตสุขประเสริฐ ขับแล่นในทางเดินรถที่สวนทางมาเป็นเหตุให้นายพิชิตถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรทั้งไม่แสดงตัวแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที เป็นเหตุให้นายพิชิตถึงแก่ความตาย จำเลยนำรถที่ยังไม่ได้จดทะเบียนและเสียภาษีประจำปีสำหรับรถนั้นให้ครบถ้วนถูกต้องมาใช้บนถนนหลวงนอกจากนั้นจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียนน – 0208 สระบุรี ได้ใช้และมีไว้เพื่อใช้ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าว แต่จำเลยไม่จัดให้มีการประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยโดยการประกันกับบริษัท เหตุเกิดที่ตำบลหนองสรวง อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรีต่อมาวันที่ 1 สิงหาคม 2539 จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 78, 157, 160 พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 6, 59 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มาตรา 7, 37
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายเพิ่ม สุขประเสริฐ บิดาของนายพิชิตสุขประเสริฐ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43(4)(8), 157, 160 วรรคสาม เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 4 ปี กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 78 (ที่ถูก 78 วรรคหนึ่ง) ประกอบมาตรา 160 วรรคหนึ่งจำคุก 2 เดือน ความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 6วรรคหนึ่ง, 59 ปรับ 4,000 บาท ความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง, 37 ปรับ 10,000 บาทเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 4 กระทง จำคุก 4 ปี 2 เดือนและปรับ 14,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง มีผู้ขับรถยนต์เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน สระบุรี ช – 8474 ที่นายพิชิตสุขประเสริฐ ผู้ตายขับ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ผู้ตายหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานคือพระภิกษุจิตหรือหลอด พิมพ์จินดา เบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 17 นาฬิกา ได้ขับรถจักรยานยนต์ออกจากโรงงานเพื่อกลับบ้านไปตามถนนสายบ้านดอน เมื่อขับขึ้นสะพานข้ามทางรถไฟถึงกึ่งกลางสะพาน มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งแล่นแซงไป ต่อมามีรถยนต์กระบะสีน้ำเงินมีคนนั่งที่กระบะท้าย 2 ถึง 3 คน แล่นสวนทางขึ้นมาด้วยความเร็ว หลังจากนั้นมีเสียงดัง “โป๊ะ” จึงหันไปดูเห็นรถจักรยานยนต์ที่แล่นตามมาถูกชน ผู้ตายล้มอยู่ทางด้านซ้ายมือ ส่วนรถจักรยานยนต์ล้มอยู่ข้างสะพานด้านขวามือ ส่วนรถยนต์กระบะสีน้ำเงินที่ชนรถจักรยานยนต์แล่นเลยไป มีคนงานที่ขับรถตามมาหยุดช่วยเหลือผู้ตายนางทองเพียร วัฒนารัตยากูล เบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ17 นาฬิกา ได้ขับรถจักรยานยนต์ไปเก็บผักที่นา ซึ่งอยู่ริมถนนห่างจากสะพานข้ามทางรถไฟประมาณ 1 กิโลเมตร ขณะที่ยืนอยู่บนไหล่ถนนฝั่งตรงข้ามเห็นจำเลยขับรถยนต์กระบะสีฟ้าผ่านไปด้วยความเร็วผิดปกติจากทางสะพานข้ามทางรถไฟมุ่งหน้าไปทางวัดบ้านดอนโดยมีผู้โดยสารอยู่บนรถ 2 ถึง 3 คน เห็นว่า แม้โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานเห็นตอนที่รถจักรยานยนต์ของผู้ตายถูกชนก็ตามแต่พระภิกษุจิตหรือหลอด พิมพ์จินดา ซึ่งขับรถจักรยานยนต์สวนกับรถยนต์กระบะสีน้ำเงินที่มีผู้นั่งที่กระบะท้าย 2 ถึง 3 คน ชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย พระภิกษุจิตก็เห็นแทบจะในทันทีทันใดทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุและห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตร นางทองเพียรก็เห็นจำเลยขับรถยนต์กระบะโดยมีผู้นั่งโดยสาร 2 ถึง 3 คน ซึ่งเมื่อตอบคำถามค้านของทนายจำเลย นางทองเพียรก็เบิกความว่าคนที่มากับรถยนต์กระบะนั่งอยู่ส่วนท้ายซึ่งเห็นได้ว่าในเวลาใกล้เคียงกัน บนถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรง มีรถยนต์กระบะของจำเลยที่แล่นมาเพียงคันเดียวนางทองเพียรรู้จักจำเลยมานานเป็นเพื่อนบ้านอยู่ไม่ไกลกันนักทั้งเห็นจำเลยขับรถยนต์กระบะคันดังกล่าวอยู่เป็นประจำ ในวันเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์กระบะผ่านไปห่างเพียง 3 เมตร โดยที่จำเลยมิได้ปิดกระจกรถด้านข้างจึงย่อมเห็นได้ถนัดแม้จะเห็นเพียงขณะเดียว แต่ขณะนั้นยังไม่มืดจึงย่อมจะแลเห็นได้ว่าใครเป็นคนขับรถของจำเลย พยานปากนี้แม้จะเป็นญาติกับมารดาผู้ตาย แต่ก็มิได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน นางทองเพียรมิได้เห็นเหตุการณ์ตอนที่รถยนต์กระบะชนรถจักรยานยนต์จึงไม่ได้เล่าให้ผู้ใดฟังในตอนแรกไม่เป็นข้อพิรุธ แต่นางทองเพียรก็เล่าให้ชาวบ้านฟัง จนกระทั่งร้อยตำรวจเอกราษฎร์ ฟักอุดม พนักงานสอบสวนทราบว่านางทองเพียรเห็นรถยนต์กระบะที่จำเลยขับไป จึงได้สอบคำให้การนางทองเพียรไว้ตามเอกสารหมาย จ.9 ซึ่งก็ตรงกับที่นางทองเพียรมาเบิกความต่อศาลคำให้การของนางทองเพียรจึงมิได้มีพิรุธแต่อย่างใด แม้สีรถที่นางทองเพียรเบิกความว่าเป็นสีฟ้า แต่พระภิกษุจิตเบิกความว่าเป็นสีน้ำเงินก็ไม่ใช่ข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญเพราะแม้แต่ร้อยตำรวจเอกราษฎร์พนักงานสอบสวนก็ยังเบิกความว่ารถยนต์กระบะของจำเลยสีน้ำเงิน ข้อแตกต่างเรื่องสีของรถยนต์จึงเป็นเพียงรายละเอียดเล็กน้อยเพราะการมองเห็นสีของรถในชั่วระยะเวลาเพียงสั้น ๆ อาจทำให้จำเลยเรียกสีของรถสับสนไปบ้างก็อาจเป็นได้ และที่นางทองเพียรเบิกความถึงรถยนต์ตามภาพถ่ายหมาย ล.1 คล้ายกับรถยนต์ของจำเลย ส่วนตามภาพถ่ายหมายล.2 ไม่เหมือนนั้นยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่าพยานเห็นและจำรถของจำเลยได้ไม่ผิดคัน นอกจากนี้พันตำรวจตรีเกษม รัตนาวิทย์ซึ่งได้ตรวจวัตถุของกลางคือรถจักรยานยนต์ รถยนต์กระบะ และเสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่ผู้ตายสวมใส่ขณะเกิดเหตุก็เบิกความยืนยันว่าจากการตรวจรถจักรยานยนต์เสียหายด้านหน้าแฮนด์รถข้างขวาตรงปลายคันเบรกมือมีคราบสีฟ้าติดอยู่ สำหรับรถยนต์กระบะมีการทำสีใหม่ที่กระบะข้างขวาสูงจากพื้นประมาณ 80 เซนติเมตรถึง 1 เมตร และตรงบริเวณที่ทำสีใหม่มีรอยขูดยาวตั้งแต่ประตูข้างขวาถึงกระบะ ส่วนเสื้อเชิ้ตพบว่ามีสีฟ้าติดที่คอปกเสื้อด้านหน้าและหน้าอกข้างขวา เมื่อนำรถจักรยานยนต์และรถยนต์กระบะมาเปรียบเทียบร่องรอยที่เกิดขึ้นแล้วเห็นว่า เข้ากันได้ และมีความเห็นว่ารถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันโดยด้านขวาของแต่ละคันเฉี่ยวชนกันทั้งสีฟ้าที่ปลายคันเบรกรถจักรยานยนต์ และสีฟ้าที่คอปกเสื้อที่หน้าอกก็เป็นสีเดียวกับสีของรถยนต์กระบะตามรายงานการตรวจพิสูจน์และภาพถ่ายเอกสารหมาย ป.จ.1 และ ป.จ.2(ศาลจังหวัดนครปฐม) ร้อยตำรวจโทหญิงประพร เติมเกาะซึ่งตรวจพิสูจน์เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเทา มีสีฟ้าติดอยู่ของผู้ตาย 1 ตัวชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์สีฟ้าซึ่งเป็นฝาปิดถังน้ำมันรถยนต์จำเลยและเศษสีฟ้าที่เก็บมาจากรถยนต์กระบะของจำเลยก็เบิกความว่าผลการตรวจพบว่าสีฟ้าที่ติดอยู่ที่เสื้อผู้ตายมีลักษณะและคุณสมบัติน่าเชื่อว่าเป็นสีฟ้าชนิดเดียวกับเศษสีฟ้าของรถยนต์จำเลย ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย ป.จ.1(ศาลอาญากรุงเทพใต้) การตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวเป็นไปตามหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งพยานทั้งสองสำเร็จการศึกษาและมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะร้อยตำรวจโทหญิงประพรเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า การตรวจพิสูจน์ใช้น้ำยาเคมีและส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงโดยไม่จำต้องสกัดสีออกจากตัวเสื้อ คุณสมบัติของสีเป็นชนิดเดียวกันการที่ไม่สามารถบอกยี่ห้อสีได้นั้นมิใช่ข้อพิรุธ การที่สีที่ติดเสื้อของกลางมีสีแดงติดอยู่ด้วยเหมือนสีที่ติดฝาปิดถังน้ำมันและเศษสีฟ้าที่เก็บจากรถยนต์อันเป็นสีรองพื้นนั้น ร้อยตำรวจโทหญิงประพรก็เบิกความตอบคำถามติงว่าในรายงานเอกสารหมาย ป.จ.1 ไม่ระบุสีแดง เนื่องจากผู้ส่งของกลางมาตรวจพิสูจน์ไม่ได้ระบุให้ตรวจ ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องส่งรถยนต์ของกลางไปตรวจพิสูจน์อีกว่าสีรองพื้นสีแดงนั้นมาจากรถยนต์ของจำเลยก็พอชี้ชัดอยู่แล้วว่ารถยนต์ของจำเลยชนกับรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย ที่จำเลยอ้างว่ารถยนต์สีฟ้าแถวนั้นมีหลายคันเช่นตามภาพถ่ายหมาย ล.1 และ ล.2 จำเลยก็ไม่นำสืบว่าเป็นของใคร นอกจากนี้จำเลยอ้างว่านำรถไปซ่อมปะผุแล้ว ซื้อสีมาพ่นเองก็เป็นพิรุธเพราะรถมีรอยซ่อมข้างขวาเพียงด้านเดียวโดยพันตำรวจตรีเกษมผู้ตรวจพิสูจน์ยืนยันว่ามีการทำสีใหม่บริเวณกระบะด้านขวาจึงนับว่าเป็นพิรุธของจำเลย ส่วนที่ว่ารถยนต์ของจำเลยชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายบริเวณใดนั้น จากร่องรอยหลักฐานพบรอยห้ามล้อรถยนต์กับรอยครูดบนถนนตามแผนที่และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 เชื่อได้ว่าจุดเกิดเหตุอยู่ในทางเดินรถของรถจักรยานยนต์ห่างจากขอบถนนประมาณ 2 เมตร พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมสอดคล้องต้องกัน พยานโจทก์และโจทก์ร่วมโดยเฉพาะเจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทั้งได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดจึงมีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคง ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องของโจทก์ พยานหลักฐานของจำเลยไม่สามารถรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ในข้อหาความผิดฐานใช้รถยนต์โดยไม่ได้จดทะเบียนและใช้รถโดยไม่จัดให้มีการประกันภัยสำหรับผู้ประสบภัยจากรถนั้น แม้จำเลยให้การปฏิเสธแต่จำเลยก็ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ทั้งชั้นพิจารณาจำเลยก็มิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น สมควรที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2จะลดโทษให้จำเลยนั้น เห็นว่า เหตุบรรเทาโทษเพราะรับสารภาพนั้นจะต้องให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณากรณีดังกล่าวเจ้าพนักงานตรวจสอบพบการกระทำผิดจากรถยนต์ของจำเลยที่ยึดมาแล้ว จึงได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติม แม้จำเลยไม่ให้การรับสารภาพก็ย่อมพิสูจน์ความผิดได้โดยง่าย จึงเป็นการจำนนต่อหลักฐาน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ลดโทษให้จำเลยจึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน