คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2511 จำเลยบังอาจเข้าไปลักทรัพย์ในเคหะสถานของผู้เสียหาย และเอาทรัพย์ตามรายการในฟ้องไป หรือมิฉะนั้นเมื่อระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน 2511 ถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2511 เวลากลางวัน จำเลยก็บังอาจร่วมกันรับทรัพย์ดังกล่าวตามฟ้องไว้โดยรู้ว่าเป็นของที่คนร้ายได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ เช่นนี้ ฟ้องของโจทก์จึงกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร ในขณะที่การกระทำผิดฐานลักทรัพย์ยังไม่เกิดขึ้น การกระทำของจำเลยตามที่บรรยายมาในฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็จะลงโทษจำเลยในข้อหานี้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ เวลากลางวัน ได้มีคนร้ายบังอาจเข้าไปในห้องพักอันเป็นเคหะสถานที่อยู่อาศัยของนาย ดี.เค.สมิท โดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วลักเอาทรัพย์สินต่างๆ ตามฟ้องไป รวมราคา ๒๐,๗๐๐ บาท
วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยได้และยึดได้เครื่องบันทึกเสียงของเจ้าทรัพย์จากโรงรับจำนำยี่ห้อย่องเซี้ยง ซึ่งจำเลยนำไปเพื่อจำนำ และในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ เวลากลางวัน เจ้าพนักงานยึดได้เครื่องฉายภาพยนตร์และเครื่องเล่นจานเสียงของเจ้าทรัพย์จากผู้มีชื่อซึ่งจำเลยนำไปขายไว้เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ โดยจำเลยได้ร่วมกันลักทรัพย์ของนาย ดี.ค.สมิท ไปตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวแล้ว หรือมิฉะนั้นเมื่อระหว่างวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๑๑ เวลากลางวันถึงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๑๑ เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยบังอาจร่วมกันรับเอาทรัพย์ของนาย ดี.เค.สมิท รวมราคา ๒๐,๗๐๐ บาท ซึ่งถูกคนร้ายลักไปดังกล่าวไว้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของคนร้ายได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๗), ๓๕๗, ๘๓, ๙๓
จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดฐานรับของโจร
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ ๓ รับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษมาจริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า หลักฐานพยานโจทก์ไม่เพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ร่วมลักทรัพย์ของผู้เสียหาย ส่วนในข้อหาฐานรับของโจรนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าเหตุลักทรัพย์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ และเหตุรับของโจรเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๑๑ เวลากลางวัน ถึงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๑๑ เวลากลางวัน วันเกิดเหตุรับของโจรจึงเกิดขึ้น ก่อนวันเกิดเหตุลักทรัพย์ ฟ้องของโจทก์ในข้อหารับของโจรเป็นฟ้องที่เป็นไปไม่ได้ และไม่เป็นความผิด แม้จำเลยที่ ๑ จะให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ก็ไม่มีความผิดเช่นเดียวกัน พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำผิดฐานรับของโจรดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ฯลฯ เกิดขึ้นแล้ว ตามฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนแยกได้เป็นสองข้อหา กล่าวคือ จำเลยได้ร่วมกันลักทรัพย์ของนายดี.เค.สมิท ไปเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ข้อหาหนึ่ง และร่วมกันรับเอาทรัพย์ของนาย ดี.เค.สมิท ที่ถูกคนร้ายลักไป โดยร่วมกันรับเอาไว้ระหว่างวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๑๑ เวลากลางวัน ถึงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๑๑ เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดอีกข้อหาหนึ่ง ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงกล่าวหาว่าจำเลยร่วมกันกระทำผิดฐานรับของโจร ในขณะที่การกระทำผิดฐานลักทรัพย์ยังไม่เกิดขึ้น การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร เมื่อฟ้องของโจทก์มีข้อความเป็นอยู่เช่นนี้โดยโจทก์มิได้ขอแก้ไข จึงจะฟังว่าโจทก์ระบุเดือนที่จำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรโดยพลั้งเผลอไม่ได้ และเมื่อฟ้องของโจทก์ในข้อหาฐานรับของโจรไม่เป็นความผิด ก็จะลงโทษจำเลยไม่ได้ แม้จำเลยที่ ๑ จะให้การรับสารภาพก็เป็นการรับสารภาพตามฟ้องที่ไม่เป็นความผิด จะลงโทษจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ เช่นเดียวกัน
พิพากษายืน

Share