แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157, 162 จำเลยอื่นจึงไม่มีความผิดตามฟ้องด้วย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีงบดุลร้านสหกรณ์ ห. ได้แจ้งต่อที่ประชุมกรรมการร้านสหกรณ์ว่าโจทก์ทำเงินขาดบัญชี และทำสินค้าขาดหายไปก็เนื่องจากจำเลยทั้งสามตรวจพบข้อผิดพลาดของบัญชีร้านสหกรณ์ดังกล่าว จึงไม่เป็นการกระทำโดยมิชอบอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 นั้น เอกสารที่โจทก์อ้างว่าจำเลยร่วมกันทำเป็นความเท็จให้พนักงานอัยการเป็นหลักฐานดำเนินคดีกับโจทก์เป็นเพียงรายการสินค้าที่ระบุว่าสินค้าขาดหายไปเท่านั้น และไม่มีจำเลยคนใดซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเอกสารและรับรองเอกสารดังกล่าว แล้วพิพากษายืน ดังนี้ เป็นการพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยร่วมกันทำเอกสารขึ้นตามหน้าที่ของจำเลยเพื่อรับรองความถูกต้องของเอกสารดังกล่าวอันเป็นความเท็จพฤติการณ์ต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำโดยมิชอบ และมีมูลที่ศาลจะรับพิจารณาต่อไปเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเก้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๖, ๙๑, ๑๕๗, ๑๖๒
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๑๖๒ จำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๙ จึงไม่มีความผิดตามฟ้องด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเพียงผู้ตรวจสอบบัญชีงบดุลร้านสหกรณ์หัวหิน จำกัด ได้แจ้งต่อที่ประชุมกรรมการร้านสหกรณ์หัวหิน จำกัด เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ ว่า โจทก์ทำเงินขาดบัญชีจำนวน ๑๑๑,๐๐๐ บาทและทำสินค้าขาดหายไปเป็นจำนวนเงิน ๖๔,๐๐๐ บาท กับต้องรับผิดในเงินกำไรที่ควรได้จำนวน ๕๑,๐๐๐ บาทนั้น ก็สืบเนื่องมาจากที่จำเลยทั้งสามดังกล่าวตรวจพบข้อผิดพลาดของบัญชีร้านสหกรณ์หัวหิน จำกัด จึงไม่เป็นการกระทำโดยมิชอบอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๒ โจทก์นำสืบลอยๆ ว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ และที่ ๙ ร่วมกันทำรายการสินค้าขาดบัญชีเอกสารหมาย จ.๕ เป็นเท็จให้แก่พนักงานอัยการเป็นหลักฐานดำเนินคดีกับโจทก์ เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงรายการสินค้าที่ระบุว่าขาดหายไปเท่านั้น และไม่มีจำเลยคนใดซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเอกสารและรับรองเอกสารดังกล่าว อันเป็นการพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ ที่โจทก์ฎีกาว่าพฤติการณ์ต่างๆ แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ กระทำการโดยมิชอบ และมีมูลที่ศาลจะรับพิจารณาต่อไป จำเลยที่ ๑ และจำเลยอื่นร่วมกันทำเอกสารหมาย จ.๕ ขึ้นตามหน้าที่ของจำเลยที่๑ และที่ ๒ เพื่อรับรองความถูกต้องของเอกสารดังกล่าวอันเป็นความเท็จนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาโจทก์