คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

วัตถุออกฤทธิ์ที่จะริบให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 116 นั้น ต้องเป็นกรณีที่มีการลงโทษตามมาตรา 89 ฉะนั้น เมื่อศาลยกฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาตามมาตรา 89 แล้ว กรณีจึงไม่อาจริบของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามบทบัญญัติ ดังกล่าวได้ แต่การมีวัตถุออกฤทธิ์ของกลางไว้ในครอบครองเป็นความผิด ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นของผู้กระทำความผิดและมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ศาลจึงริบของกลาง ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวน ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกันและให้เรียกนางสายพิน ใจทิม เป็นจำเลยที่ 1 นางสมจิตร สระทองบุกเป็นจำเลยที่ 2
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 126 เม็ด น้ำหนักรวม 11.220 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 2.991 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตและได้ขายเมทแอมเฟตามีนให้ผู้มีชื่อไปในจำนวนที่ไม่ปรากฏชัด ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106, 106 ทวิ, 116 ริบของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
สำนวนที่สองโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 65 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 1.567 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตและได้ขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อจำนวน 2 เม็ด ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106,106 ทวิ, 116 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขคืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 543/2540 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายสองบทที่มีโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำเลยที่ 1 ให้จำคุก 8 ปี จำเลยที่ 2 ให้จำคุก 7 ปีริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข คืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ ให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 543/2540 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่เมทแอมเฟตามีนของกลางมีไว้เป็นความผิดจึงริบให้แก่กระทรวงสาธารณสุข และคืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าวันที่ 13 พฤษภาคม 2539 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อหามีและขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 126 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก2.991 กรัม และจำนวน 65 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 1.567 กรัมตามลำดับ และยึดเป็นของกลาง คดีมีปัญหาว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ในคดีอาญาโจทก์ต้องพิสูจน์การกระทำความผิดของจำเลยให้ศาลเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงคดีนี้ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดหรือไม่ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องชอบแล้ว
อนึ่ง วัตถุออกฤทธิ์ที่จะริบให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 116 นั้น ต้องเป็นกรณีมีการลงโทษตามมาตรา 89 แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้อง จึงไม่อาจริบเมทแอมเฟตามีนของกลางอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ แต่การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเป็นความผิดซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นของผู้กระทำความผิดและมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข จึงไม่ถูกต้อง สมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share