คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2463

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องว่าระหว่างวันที่ ๑๑ – ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๐ เวลากลางคืน จำเลยกับพวกประมาณ ๘ คนสมคบกันเปนโจรปล้นบ้านนายฮวย ทำร้ายนายฮวบถึงแก่ความตาย เก็บเอาทรัพยสิ่งของไปรวมราคาเงิน ๓๘๘ บาท ๖๘ สตางค์ เหตุเกิดที่ตำบลห้วยเกต จังหวัดพิจิตร์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๑ – ๒๕๐ ฯ
จำเลยให้การปฏิเสธคำหา ต่อสู้ว่ามีฐานที่อยู่ ฯ
ศาลจังหวัดพิจิตร์พิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า นายไต๋จำเลยแต่ผู้เดียวเปนผู้ร้ายปล้นทรัพย และพวกเจ้าทรัพยถึงแก่ความตาย ผิดกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๑ ตอน ๒ แลผิดบทมาตรา ๒๕๐ ข้อ ๕ เปนกะองที่หนัก ทำความเห็นเสมออธิบดีมณฑล ให้ประหารชีวิตอ้ายไต๋จำเลยให้ตายตกไปตามกันส่วนนายทองจำเลยนั้น นายแสนพยานโจทย์เบิกความทำให้เปนที่สงสัยฟังไม่สนิธ ควรให้ปล่อยตัวนายทองไป อธิบดีผู้พิพากษามณฑลมีความเห็นแย้งว่า คำพยานโจทย์เบิกความมีพิรุธ ควรยกฟ้องปล่อยตัวจำเลยไป ฯ
นายไต๋จำเลยที่ต้องโทษอุทธรณ ฯ
ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทย์มีพยานสำคัญอยู่ ๒ ปาก คือ นายแสนกับนายแร่ นายแสนว่าได้เห็นจำเลย จำได้โดยแสงไปคบที่นายไต๋ถือขึ้นมาบนเรือนแลนายแสนได้บอกกับนายสีผู้ใหญ่บ้านในเวลานั้นว่า จำนายไต๋นายทองจำเลยได้ แต่นายสีเบิกความเปนพยานว่า นายแสนได้บอกกับนายสีว่าจำได้แต่นายไต๋จำเลยผู้เดียว ส่วนคำนายแร่พยานนั้นว่าจำนายไต๋จำเลยได้ แลได้บอกกับนายหมาก ๆ เบิกความว่า นายแร่ไม่ได้พูดกับนายหมากเลย ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษเห็นว่า คำพยานแลหลักฐานของโจทย์ไม่มั่นคงคดียังไม่ควรจะลงโทษนายไต๋จำเลยได้ จึงพิพากษาให้กลับคำตัดสินศาลเดิม แลให้ยกฟ้องโจทย์ปล่อยตัวนายไต๋จำเลยไป
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนเรื่องนี้แล้ว ทางพิจารณาได้ความว่า ในคืนวันที่โจทย์หามีผู้ร้ายขึ้นปล้นเรือน นายฮวยแลฆ่านายฮวบเจ้าของเรือนตาย ผู้ร้ายเก็บเอาทรัพยของนายแสน นางริดบุตร์เขย บุตรีสาวนายฮวบไป ในเมื่อขณะผู้ร้ายปล้นทรัพยโจทย์มีพยานสำคัญอยู่ ๒ ปาก คือ นายแสนบุตร์เขยกับนายแร่บุตร์นายฮวบผู้ตาย ว่าได้เห็นผู้ร้ายจำจำเลยได้ นายแสนนั้นอยู่เรือนเดียวกับนายฮวบผู้ตาย นายแร่อยู่เรือนต่างหาก ห่างจากเรือนนายฮวบประมาณ ๕ วา นายแสนเบิกความเปนพยานว่าเมื่อผู้ร้ายจุดคบไฟขึ้นมาบนเรือน นายแสนได้เปิดประตูเรือนออกมาพบผู้ร้ายจุดคบไฟขึ้นมาบนเรือน นายแสนได้เปิดประตูเรือนออกมาพบผู้ร้ายจำหน้าได้ว่าเปนนายไต๋กับนายทองจำเลยทั้ง ๒ คน จำได้ด้วยแสงคบไฟที่นายไต๋จำเลยถือแล้วนายแสนกระโดดจากเรือนหนีผู้ร้ายไปแลได้บอกกับนายสีผู้ใหญ่บ้านในคืนนั้นว่า นายแสนจำจำเลยทั้ง ๒ คนนี้ได้ แต่นายสีผู้ใหญ่บ้านมาเบิกความเปนพยานว่า นายแสนได้บอกกับนายสีว่าจำได้แต่นายไต๋ผู้เดียว นายทองนั้นมองไม่เห็นตัว ส่วนนายแร่พยานว่าได้เห็นผู้ร้ายตามช่องฝาเรือนของนายแร่ เพราะเรือนนายแร่เปนฝาไม้ไผ่จำได้แต่นายไต๋คนเดียว เมื่อผู้ร้ายไปแล้วนายแร่จึงลงจากเรือนมาที่เรือนนายฮวบ นายแร่ว่าได้บอกความกับนายหมากว่าจำนายไต๋ได้ นายไมากมาเบิกความไม่รับสมคำนายแร่ ว่านายแร่ไม่ได้พูดความเรืองปล้นนี้กับนายหมากเลย และคำเบิกความของนายแร่นี้ขัดกับคำนางสีภรรยาของนายแร่เอง นางสีเบิกความเมื่อเกิดปล้นนายแร่ปลุกให้นางสีตื่นนอน แล้วนายแร่ก็โดดจากเรือนไป นายแร่หาได้อยู่บนเรือนมองดูผู้ร้ายไม่ คำนายแร่พยานโจทย์นี้ไม่น่าฟังเปนความจริงว่า นายแร่จะได้เห็นตัวผู้ร้ายดังคำที่นายแร่เบิกความ เมื่อคำนายแร่ฟังไม่ได้แล้ว ก็คงเหลือแต่คำนายแสนพยานปากเดียว ถึงคำนายแสนปากนี้ก็เบิกความไม่มีหลัก พยานจำเลยก็เบิกความสมฐานที่อยู่ของจำเลยในคดีฉุกฉกรรจ์ เมื่อพยานโจทย์เบิกความอ่อน ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นจึงทำให้เปนที่สงสัย ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เปนผลดีแก่จำเลย ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิพากษายกฟ้องโจทย์ ไม่ลงโทษจำเลยนั้นถูกต้องแล้ว ให้ยกฎีกาโจทย์เสีย ฯ

Share