แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อมีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลางและผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด แสดงว่าเกิดปัญหาแล้วว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานกลางหรือไม่ ต้องตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 9 วรรคท้าย ที่บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเท่านั้นเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัย ผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางไม่มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด การที่ศาลแรงงานกลางได้พิจารณาพิพากษาคดีไปก่อนมีคำวินิจฉัยชี้ขาดของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเสียก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานขับรถยนต์จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการขนส่งบุหรี่ เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2530 จำเลยที่ 1ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้นำรถยนต์ไปบรรทุกบุหรี่ที่โรงงานยาสูบ คลองเตยกรุงเทพมหานคร และจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่ควบคุมการบรรทุกบุหรี่ขึ้นรถยนต์เพื่อนำไปส่งที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยทั้งสองปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยเมื่อรับมอบบุหรี่ขึ้นบรรทุกบนรถแล้ว จำเลยทั้งสองกลับบ้าน ปล่อยทิ้งรถยนต์บรรทุกบุหรี่ไว้ตามลำพังในบริเวณโรงงานยาสูบเป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกบุหรี่และบุหรี่ถูกคนร้ายลักไป ทำให้โจทก์เสียหาย นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ได้เคยทำหนังสือประนีประนอมยอมความและผ่อนชำระหนี้เพราะทำให้สินค้าโจทก์เสียหายอีกส่วนหนึ่ง และจำเลยที่ 1 รับเงินเดือนและค่าครองชีพของเดือนมีนาคม 2532เกินไป 2,714.50 บาท ซึ่งต้องคืนให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน1,520,215.81 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าเสียหายงวดก่อนและค่าจ้างส่วนที่เกินจำนวน 18,064.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลาง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์เลิกจ้างจำเลยโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จ่ายเงินบำเหน็จ ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินบำเหน็จพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยที่ 2
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งโดยขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแรงงานกลางได้ จำเลยทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ และจำเลยที่ 2ไม่มีสิทธิได้รับเงินที่ฟ้องแย้งพิพากษาให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน 1,520,214.81 บาท พร้อมดอกเบี้ย กับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน15,350.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 9 วรรคท้าย บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเป็นผู้วินิจฉัยเมื่อมีปัญหาว่า คดีใดอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานหรือไม่ คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลาง ในวันนัดพิจารณา ศาลแรงงานกลางได้กำหนดไว้ในประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 ว่า ศาลแรงงานกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่เมื่อกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้ว ได้มีคำสั่งในเรื่องนี้ว่า ให้จัดส่งสำนวนให้อธีบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อ 1 เมื่อปรากฏว่าศาลแรงงานกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ให้โจทก์นำสืบก่อนทั้งหมดแล้วให้จำเลยสืบแก้ภายหลัง รายละเอียดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลางลงวันที่ 3 ตุลาคม 2532 แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่มีการส่งสำนวนไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 แต่อย่างใด ได้มีการสืบพยานโจทก์และจำเลยจนเสร็จการพิจารณาแล้วผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 เสียเองว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลาง ปัญหามีว่า ในกรณีเช่นนี้ผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีอำนาจวินิจฉัยดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า เมื่อมีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลาง ผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ส่งสำนวไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด แสดงว่าผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีความสงสัยว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลางหรือไม่ ถือว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้วว่า คดีอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานกลางหรือไม่ ต้องตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2523 มาตรา 9 วรรคท้าย ที่บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเท่านั้นเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด กรณีนี้ผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางหามีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดไม่ เมื่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลางได้พิจารณาและพิพากษาคดีนี้ก่อนมีคำวินิจฉัยชี้ขาดของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางจึงเป็นการไม่ชอบ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นคดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยก่อนว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลแรงงานกลางหรือไม่แล้วดำเนินการต่อไป