คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1339/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูของบุตรผู้เยาว์ทั้งสาม ในฐานะเป็นบุตรผู้เยาว์ของนาง ต. ผู้ตาย จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสามควรได้รับค่าขาดไร้อุปการะตามจำนวนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ อันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องแยกพิจารณาเป็นรายบุคคลไป ดังนี้ เมื่อทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาสำหรับบุตรผู้เยาว์แต่ละคนของนาง ต. ไม่เกิน 200,000 บาท ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 504,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จำนวนเงิน 830,975 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวนเงิน 1,109,400 บาท แก่โจทก์ที่ 3 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 480,000 บาท 773,000 บาท และ 1,032,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 3 ตามลำดับ นับแต่วันนัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2538 จำนวนเงิน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 220,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 932,000 บาท แก่โจทก์ที่ 3 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความให้จำนวน 20,000 บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 360,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 นับแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2538 จนกว่าชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ 2 และจำนวน 892,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ 3 ทั้งนี้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวทั้งสองจำนวนนับแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ที่ 3 ซึ่งแยกได้เป็นค่าขาดไร้อุปการะของเด็กหญิงปัทมา เด็กหญิงปรางทอง และเด็กชายกิตติในฐานะบุตรผู้เยาว์ของนางตา กับค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์ที่ 3 ในฐานะคู่สมรส เห็นว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้เด็กหญิงปัทมา เด็กหญิงปรางทอง และเด็กชายกิตติได้ค่าขาดไร้อุปการะคนละ 108,000 บาท, 126,000 บาท และ 198,000 บาท ตามลำดับ จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่ 3 ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสามควรได้รับชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะตามจำนวนนั้น อันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเช่นกันซึ่งต้องแยกพิจารณาเป็นรายบุคคลไป ดังนี้ เมื่อทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาสำหรับบุตรผู้เยาว์แต่ละคนของนางตาไม่เกิน 200,000 บาท ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย…
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีการวม 2,000 บาท แทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ส่วนโจทก์ที่ 1 ไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.

Share