คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2076/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความผิดในข้อหามีสุรากลั่นมีสุราแช่เป็นความผิดกรรมเดียวศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยมาสองกรรมเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2593 มาตรา 5,24, 25, 30, 32, 42, 42 ทวิ, 45 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสุราพ.ศ. 2493 มาตรา 5, 25, 30, 32, 42 ทวิ ที่แก้ไขใหม่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ที่แก้ไขใหม่ ลงโทษฐานมีภาชนะเครื่องกลั่นสุรา จำคุก 2 เดือน ฐานมีสุรากลั่นปรับ 500 บาทฐานมีสุราแช่ปรับ 500 บาท ฐานมีแป้งเชื้อสุราปรับ 200 บาทฐานทำสุรา จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 4 เดือน ปรับ 1,200 บาทไม่ชำระค่าปรับให้กักขังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องแต่ให้ริบของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่ากระทำความผิดรวม 6 กระทง ซึ่งทุกกระทงมีโทษจำคุกไม่เกินสามปีปรับไม่เกินหกหมื่นบาท และเฉพาะในความผิดฐานมีสุรากลั่น ฐานมีสุราแช่ และฐานมีแป้งเชื้อสุรา ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับไม่เกินห้าร้อยบาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานต่าง ๆ ดังกล่าวหรือไม่ ย่อมเป็นการไม่ชอบส่วนความผิดฐานทำเชื้อสุรา ศาลชั้นต้นไม่ได้พิพากษาลงโทษจำเลยและโจทก์ไม่อุทธรณ์ ความผิดฐานดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น…คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า จำเลยได้ร่วมกระทำผิดฐานมีภาชนะเครื่องกลั่นสุราไว้ในความครอบครองและทำสุรากลั่นสุราแช่กับพวกที่หลบหนีไปตามฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีนายวินัย และนายเวียง นายตรวจสรรพสามิตจังหวัดจันทบุรี เบิกความยืนยันว่า ขณะไปถึงที่เกิดเหตุนั้นที่เกิดเหตุมีป่าโกงกางล้อมรอบจึงได้แอบซุ่มดูเห็นชายสองคน คือจำเลยและนายศักดากำลังต้มกลั่นสุราโดยจำเลยกำลังใส่ฟืนในเตาส่วนนายศักดากำลังยกถังแกลลอนใส่สุราเดินออกไป เมื่อนายศักดาเห็นพยานก็ร้องว่านายมาแล้ววิ่งหนีเข้าป่าไป จำเลยวิ่งตามนายศักดาแต่นายวินัยตามจับได้ พยานโจทก์ดังกล่าวเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติการไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนจึงไม่มีข้อสงสัยว่าจะแกล้งปรักปรำจำเลย เชื่อว่าจะต้องเห็นพฤติการณ์ของจำเลยดังที่เบิกความจริง ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยเพียงแต่ได้ร่วมดื่มสุรากับนายศักดานั้น ไม่มีเหตุที่น่าเชื่อถือ เพราะเมื่อจำเลยเข้าไปพบนายศักดากระทำผิดกฎหมายในขณะนั้น ตามวิสัยของบุคคลที่สุจริตแล้วจะต้องหลบเลี่ยงไปให้พ้นจากที่เกิดเหตุแต่จำเลยกลับไปนั่งร่วมดื่มสุรากับนายศักดาด้วยนอกจากนี้เมื่อนายศักดาวิ่งหนีพนักงานเจ้าหน้าที่หากจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำผิดแล้วก็ไม่มีเหตุที่จะต้องวิ่งหนีตามนายศักดาไปให้ปรากฏเป็นพิรุธ ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอให้เชื่อถือ ศาลฎีกาเชื่อว่า จำเลยได้ร่วมกระทำผิดกับพวกที่หลบหนีไปตามฟ้องจริง… อย่างไรก็ตามสำหรับความผิดในข้อหามีสุรากลั่น มีสุราแช่นั้นเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยมาสองกรรมนั้นเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและความผิดฐานมีสุรากลั่นและความผิดฐานมีสุราแช่ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตคงให้ปรับเพียง 500 บาท.

Share