แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยออกเช็คชำระหนี้ค่าเช่าซื้อในขณะที่ออกเช็คและในขณะที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยยังคงมีหน้าที่จะต้องชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ตามสัญญาจึงเป็นเช็คที่ออกโดยมีมูลหนี้ที่มีผลผูกพันกันตามกฎหมายแม้ต่อมาโจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้ออันจะมีผลทำให้จำเลยไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างให้แก่โจทก์อีกต่อไปก็หาทำให้ความผิดอาญาที่เกิดขึ้นสำเร็จแล้วระงับไปไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็ค 3 ฉบับให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ครั้นเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ลงโทษจำคุก 5 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ให้เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกระทงละ 50 วัน รวมสามกระทงเป็นจำคุก 5 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อ 3 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฎีกามาว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทสืบเนื่องจากค่าเช่าซื้อ เมื่อโจทก์ได้ยึดรถยนต์ที่จำเลยเช่าซื้อคืนไปแล้ว สัญญาเช่าซื้อเป็นอันยกเลิกโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระจากจำเลยอีกเช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2525 โดยมีเงื่อนไขของสัญญาระบุว่าค่าเช่าซื้อที่เหลืออีก 570,000 ่บาท จำเลยจะผ่อนชำระเป็นงวด ๆละ 19,000 บาท เริ่มงวดแรกวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2526 และทุกวันที่1 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบ เช็คพิพาททั้งสามฉบับจำเลยออกให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้องวดประจำเดือนพฤษภาคม มิถุนายนและกรกฎาคม 2526 เมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและยึดรถยนต์คืนไปจากจำเลย เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2526พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เช็คพิพาททั้งสามฉบับจำเลยออกให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ เมื่อโจทก์ผู้ทรงนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินการกระทำของจำเลยย่อมเกิดเป็นความผิดสำเร็จตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คแล้ว แม้ต่อมาโจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้ออันจะมีผลทำให้จำเลยไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างให้แก่โจทก์อีกต่อไป แต่กรณีดังกล่าวก็หาทำให้ความผิดอาญาที่เกิดขึ้นสำเร็จแล้วระงับไปไม่ เพราะในขณะที่จำเลยออกเช็คพิพาท และในขณะที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินอันทำให้ความผิดเกิดขึ้นสำเร็จนั้น จำเลยยังคงมีหน้าที่จะต้องชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ตามสัญญา เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่ออกโดยมีมูลหนี้ที่มีผลผูกพันกันตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ศาลฎีกาพิเคราะห์เห็นว่าหนี้ตามเช็คเกิดจากการเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งปรากฎว่าจำเลยได้ชำระเงินไปแสนกว่าบาทและผู้เสียหายได้ยึดรถคืนไปแล้ว ไม่สมควรที่จะจำคุกจำเลยไปเลยโดยไม่ให้โอกาสกลับตัว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามพิพากษาศาลอุทธรณ์”.