แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ ว.เจ้าของร้านอาหารที่เกิดเหตุและท.ลูกจ้างของว.พยานโจทก์ที่อยู่ในร้านอาหารเกิดเหตุจะเบิกความต้องกันว่า จำเลยเข้ามาในร้านอาหารแล้วทวงถามหนี้จากผู้ตาย โดย ท. เบิกความว่าผู้ตายโกรธจำเลยและด่าจำเลยด้วยถ้อยคำหยาบ ๆ คาย ๆ ว่า “ไอ้หน้าหีหน้าแตดเจอทีไรต้องทวงหนี้ทุกที กูไม่ใช้มึง มึงอยากได้ มึงก็ไปฟ้องเอา ถ้ามึงไม่ฟ้องไม่ใช่ลูกผู้ชาย” ซึ่งถ้อยคำด่าดังกล่าวนี้แม้จะทำให้จำเลยมีความอับอายต่อหน้าบุคคลอื่นที่อยู่ในร้านอาหารที่เกิดเหตุขณะนั้นได้แต่ก็เป็นเพียงถ้อยคำที่หยาบคายตามปกติที่หากผู้ตายเป็นวิญญูชนโดยทั่วไปแล้วก็ไม่สมควรที่จะกล่าวออกมาเท่านั้น เมื่อผู้ตายด่าว่าจำเลยแล้วก็ลุกออกเดินจะไปที่รถยนต์ของผู้ตายที่จอดอยู่ใกล้ ๆ กับหน้าร้านอาหารที่เกิดเหตุ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้กระทำใด ๆ อันเป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยในร่างกายหรือทรัพย์สินของจำเลยอีก พฤติการณ์ของผู้ตายที่แสดงต่อจำเลยยังถือไม่ได้ว่าได้กระทำการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยใช้อาวุธปืนเล็กกล (เอ็ม 16) ซึ่งจำเลยรู้ดีว่าเป็นอาวุธปืนที่มีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้ตายเป็นการกระทำไปด้วยความโกรธขาดสติ จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าฆ่าผู้ตายโดยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
การไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นภาวะทางจิตใจของจำเลยที่จะต้องคิดทบทวนตกลงใจว่า จะฆ่าผู้ตายก่อนที่จะลงมือกระทำ ซึ่งเป็นการยากที่จะหยั่งรู้ได้โดยตรง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุ แม้จะได้ความว่าสาเหตุที่จำเลยฆ่าผู้ตายเนื่องมาจากเหตุที่ผู้ตายยืมเงินจำเลยจำนวนมากถึง 205,000 บาท จำเลยทวงถามหลายครั้งแล้วผู้ตายไม่ยอมชำระก็ตาม แต่การกู้ยืมเงินกันระหว่างจำเลยกับผู้ตายก็ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินกันไว้ ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะฟ้องบังคับเองได้โดยชอบด้วยกฎหมาย พฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยได้คิดทบทวนตัดสินใจที่จะฆ่าผู้ตายที่ไม่ยอมชำระหนี้ให้จำเลยไว้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 4, 6, 8 ทวิ, 55, 56, 72 ทวิ และ 78ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 32, 33 และ 91 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพว่า จำเลยมีไว้ในครอบครองและพาไปซึ่งอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ตามคำฟ้อง และได้ใช้อาวุธปืนยิงนางปราณีต แก้วกลางเมือง ผู้ตายโดยบันดาลโทสะมิได้ไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง และ 78 วรรคหนึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (ที่ถูก 289(4)) ฐานมีอาวุธปืนให้จำคุก5 ปี ฐานพาอาวุธปืนให้จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดทั้งสองฐาน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปีฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิต คำให้การชั้นสอบสวน ชั้นพิจารณา และคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 ให้จำคุกตลอดชีวิต เมื่อลงโทษจำเลยจำคุกตลอดชีวิตแล้วจึงไม่อาจนำโทษจำคุก 5 ปีดังกล่าวมารวมได้ ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า ที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนางปราณีต แก้วกลางเมือง ผู้ตายจนถึงแก่ความตายนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะจากการที่จำเลยทวงหนี้จากผู้ตายแล้ว ผู้ตายไม่ยอมชำระแต่กลับด่าว่าจำเลย ไม่ใช่เป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนดังเช่นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า แม้จากคำเบิกความของนางวรรัตน์เล็กชูผล เจ้าของร้านอาหารที่เกิดเหตุและนางสาวทัศนีย์ สวัสดี ลูกจ้างของนางวรรัตน์พยานโจทก์ที่อยู่ในร้านอาหารเกิดเหตุจะเบิกความต้องกันว่าจำเลยเข้ามาในร้านอาหารแล้วทวงถามหนี้จากผู้ตาย โดยนางสาวทัศนีย์เบิกความตอบทนายจำเลยว่า ผู้ตายโกรธจำเลยและด่าจำเลยถ้อยคำหยาบ ๆ คาย ๆ ว่า “ไอ้หน้าหี หน้าแตด เจอที่ไรต้องทวงหนี้ทุกที กูไม่ใช้มึง มึงอยากได้มึงก็ไปฟ้องเอา ถ้ามึงไม่ฟ้อง ไม่ใช่ลูกผู้ชาย” ซึ่งถ้อยคำด่าดังกล่าวนี้ หากพิจารณาในความรู้สึกของจำเลยที่ได้รับฟังแล้วจะทำให้จำเลยมีความอับอายต่อหน้าบุคคลอื่นที่อยู่ในร้านอาหารที่เกิดเหตุขณะนั้นได้ก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงถ้อยคำที่หยาบคายตามปกติที่หากผู้ตายเป็นวิญญูชนโดยทั่วไปแล้วก็ไม่สมควรที่จะกล่าวออกมาเท่านั้น ทั้งได้ความจากคำเบิกความของนางสาวทัศนีย์ว่า เมื่อผู้ตายด่าว่าจำเลยแล้วก็ลุกออกเดินจะไปที่รถยนต์ของผู้ตายที่จอดอยู่ใกล้ ๆกับหน้าร้านอาหารที่เกิดเหตุโดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้กระทำใด ๆ อันเป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยในร่างกายหรือทรัพย์สินของจำเลยอีก นอกจากนี้ตามคำเบิกความของนางวรรัตน์และนางสาวทัศนีย์พยานโจทก์ก็ต้องกันว่าจำเลยแต่งเครื่องแบบตำรวจอีกด้วย พฤติการณ์ของผู้ตายที่แสดงต่อจำเลยดังกล่าวนั้น ยังถือไม่ได้ว่าได้กระทำการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ที่จำเลยใช้อาวุธปืนเล็กกล (เอ็ม 16) ซึ่งจำเลยรู้ดีว่าเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้ตายเป็นการกระทำไปด้วยความโกรธขาดสติเท่านั้น จำเลยไม่อาจที่จะอ้างว่าได้ฆ่าผู้ตายโดยเหตุบันดาลโทสะตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6วินิจฉัยในข้อนี้มาชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยฆ่าผู้ตายจะเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่นั้น เห็นว่า การไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นภาวะทางจิตใจของจำเลยที่จะต้องคิดทบทวนตกลงใจว่าจะฆ่าผู้ตายก่อนที่จะลงมือกระทำซึ่งเป็นการยากที่จะหยั่งรู้ได้โดยตรง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุ แม้ทางพิจารณาจะได้ความแน่ชัดว่าสาเหตุที่จำเลยฆ่าผู้ตายจะเนื่องมาจากเหตุที่ผู้ตายยืมเงินจำเลยจำนวนมากถึง 205,000บาท จำเลยทวงถามหลายครั้งแล้วผู้ตายไม่ยอมชำระก็ตาม แต่ทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ได้ความว่าจำเลยเคยกล่าวอาฆาตจะฆ่าผู้ตายที่ไม่ยอมชำระหนี้ให้จำเลยมาก่อน ในทางตรงกันข้ามกลับได้ความจากคำเบิกความของนางวรรัตน์ นางสาวทัศนีย์ และนายภูวนารถหรือเลอพงศ์ เมฆสุธีพิทักษ์พยานโจทก์ต้องกันว่า ผู้ตายเป็นคนอารมณ์ร้อน โกรธง่าย ปากจัด โดยเฉพาะเกี่ยวกับหนี้ของผู้ตายนั้น นายภูวนารถซึ่งเป็นสามีผู้ตายพยานโจทก์เบิกความว่า พยานเคยสอบถามเรื่องที่ผู้ตายเป็นหนี้จำเลยแล้ว ผู้ตายจะแสดงอาการโกรธ และนายธรรมนูญ สุขทัศน์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ผู้ตายอีกคนหนึ่งก็เบิกความว่า ผู้ตายไม่ยอมชำระหนี้ เมื่อทวงถามผู้ตายก็มีอาการโมโหและแสดงความไม่พอใจอันแสดงว่าผู้ตายเป็นคนเอาแต่ใจตนเองและมีอารมณ์ร้อนโกรธง่ายต่อการกระทำของบุคคลอื่นที่ตนไม่พอใจโดยไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของบุคคลอื่น ต่างจากจำเลยที่ได้ความจากคำเบิกความของนางวรรัตน์และนางสาวทัศนีย์พยานโจทก์ที่รับฟังต้องกันได้ว่า จำเลยเป็นคนใจบุญชอบช่วยเหลือบุคคลอื่นประกอบกับที่นายภูวนารถสามีผู้ตายเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยไปพบพยานที่บ้านแล้วพูดกับพยานว่า เป็นหนี้แล้วจะเบี้ยวกันหรือไง โดยที่พยานเห็นจำเลยแสดงอารมณ์โกรธนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พูดจาใด ๆ ว่าจะตามไปทำร้ายผู้ตาย ทั้งการที่จำเลยไปพบนายภูวนารถดังกล่าวนี้ นายภูวนารถกลับเบิกความตอบทนายจำเลยว่าจำเลยมาทวงถามจากพยานในลักษณะที่ต้องการจะให้พยานรับผิดชอบด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้ความจากนายเสรี ชัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารกรุงเทพจำกัด (มหาชน) สาขาตะพานหิน ที่เป็นผู้บังคับบัญชาของนายภูวนารถพยานโจทก์ว่าจำเลยเคยมาขอความช่วยเหลือจากพยานให้ไกล่เกลี่ยให้นายภูวนารถชำระหนี้ที่ผู้ตายยืมจากจำเลยด้วย อันเป็นความพยายามของจำเลยที่ต้องการให้นายภูวนารถยอมรับผิดในหนี้สินของผู้ตายที่มีต่อจำเลย การที่นายภูวนารถเห็นจำเลยมีอาการโกรธนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าจำเลยไม่พอใจนายภูวนารถที่ไม่ยอมรับรู้ในหนี้สินของผู้ตายที่มีอยู่กับจำเลยก็เป็นได้ เพราะปรากฏจากคำเบิกความของนายภูวนารถว่านายภูวนารถได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่หนี้ที่ตนก่อขึ้น นอกจากนี้การกู้ยืมเงินกันระหว่างจำเลยกับผู้ตายก็ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินกันไว้ตามเอกสารหมาย จ.28 ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับเองได้โดยชอบด้วยกฎหมาย พฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยได้คิดทบทวนตัดสินใจที่จะฆ่าผู้ตายที่ไม่ยอมชำระหนี้ให้จำเลยไว้ก่อนแล้วจึงไปฆ่าผู้ตาย แต่การที่จำเลยนำอาวุธปืนติดตัวไปทวงหนี้จากผู้ตายนั้นเชื่อได้ว่าจำเลยต้องการจะนำอาวุธปืนไปข่มขู่ผู้ตายเท่านั้น ซึ่งจำเลยก็ได้ให้การในชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวนไว้ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.23 ตอนหนึ่งถึงสาเหตุที่นำอาวุธปืนไปทวงหนี้จากผู้ตายว่า เพื่อขู่ผู้ตายเผื่อว่าจะได้ผล เช่นนี้แสดงว่าการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุเกิดขึ้นจากการที่จำเลยตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทันทีเนื่องจากจำเลยโกรธผู้ตายที่ด่าว่าจำเลยดังวินิจฉัยมาแต่ต้น อันเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานมีและพาอาวุธปืน 5 ปีแล้วเป็นโทษจำคุก38 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6