คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2065/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อในหนังสือให้ความยินยอมซึ่งระบุว่า ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมเกี่ยวกับการซื้อและจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและกู้ยืมเงินจากโจทก์ได้โดยไม่คัดค้าน ถือว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมรับรู้หนี้กู้ยืมเงินที่จำเลยที่ 1ผู้เป็นสามีได้ก่อขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ตนฝ่ายเดียวในระหว่างสมรสและจำเลยที่ 2 ได้ให้สัตยาบันในหนี้ดังกล่าวแล้ว หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินจึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(4)จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องรับผิดใช้หนี้ดังกล่าวร่วมกันต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบธุรกิจเป็นบริษัทประกันชีวิตและให้กู้ยืมเงินโดยมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมไม่เกินอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามประกาศกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2540 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน250,000 บาท จากโจทก์ โดยยอมเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์อัตราร้อยละ 15.75 ต่อปี และโจทก์มีสิทธิเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ไม่เกินอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด จำเลยที่ 2ซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ 1 ตกลงรับทราบและยินยอมให้จำเลยที่ 1เข้าทำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว โดยจำเลยที่ 2 ยอมผูกพันตนเสมือนว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินร่วมกับจำเลยที่ 1 ทุกประการ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 3439 ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูนพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์เป็นประกันหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชดใช้เงินที่ขาดจำนวนนั้น จำเลยที่ 3ถึงที่ 5 ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ยืมของจำเลยที่ 1ดังกล่าวไว้แก่โจทก์ โดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินกู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่โจทก์ และบริษัทพี.บี.เอ.แอสโซซิเอท จำกัด ได้ทำสัญญาจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนเงิน 25,000 บาท ให้ไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวด้วย หลังจากจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินไปจากโจทก์แล้วจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามจากจำเลยที่ 1 หลายครั้งแล้ว แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย โจทก์จึงมอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ยังคงเพิกเฉย ต่อมาโจทก์ได้นำเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่บริษัท พี.บี.เอ.แอสโซซิเอท จำกัด จำนำไว้มาหักชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยของจำเลยที่ 1 แล้วปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ยังคงค้างชำระต้นเงินอยู่จำนวน 249,904.86 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 20สิงหาคม 2541 เป็นต้นมา โจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยที่ 3ถึงที่ 5 แล้ว แต่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เพิกเฉย จำเลยทั้งห้าต้องร่วมกันรับผิดชำระต้นเงินจำนวนดังกล่าวและดอกเบี้ยคิดคำนวณถึงวันฟ้องจำนวน 55,525.65 บาท กับค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีร้อยละ 5 ของเงินกู้ยืมที่ค้างชำระเป็นเงินอีก12,495.24 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 317,925.75 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 317,925.75บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีในต้นเงิน 249,904.86 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3439ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินมาไม่พอชำระหนี้ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้ามาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยทั้งห้าขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 250,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.75 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 มกราคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้นำเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน25,000 บาท ซึ่งถึงกำหนดชำระเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2541มาหักออกก่อน หากจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ไม่ชำระก็ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3439 ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูนพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้หากได้เงินมาไม่พอชำระก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1และที่ 3 ถึงที่ 5 บังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยที่ 1และที่ 3 ถึงที่ 5 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กับให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ด้วยหรือไม่ในปัญหาข้อนี้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะที่จำเลยที่ 1ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ 1ได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในหนังสือให้ความยินยอมเอกสารหมาย จ.7 โดยระบุว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1ทำนิติกรรมเกี่ยวกับการซื้อและจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโฉนดเลขที่ 3439 ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูนและกู้ยืมเงินจำนวน 250,000 บาท จากโจทก์ได้โดยไม่คัดค้านดังนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมรับรู้หนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้เป็นสามีได้ก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว ในระหว่างสมรสและจำเลยที่ 2 ได้ให้สัตยาบันในหนี้ดังกล่าวแล้ว หนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.5จึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(4) ซึ่งจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2จะต้องรับผิดใช้หนี้ดังกล่าวร่วมกันต่อโจทก์ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 339/2540 ระหว่างธนาคารแหลมทอง จำกัด (มหาชน)โจทก์ นายวสันต์ อรุณพูลทรัพย์ กับพวก จำเลยที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เพียงแต่ทำหนังสือให้ความยินยอมในการที่จำเลยที่ 1ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ในฐานะภริยาของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระหนี้และพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 มานั้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาเช่นเดียวกันอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน249,904.86 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีนับแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2541 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยคิดคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกินจำนวน 55,525.65 บาทตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share