คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 424/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับชำระเงิน 5,575,551.53 บาท จากโจทก์ โดยกล่าวอ้างว่าโจทก์ยังเป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าอยู่แก่จำเลย 5,575,551.53 บาท แต่จำเลยเรียกให้โจทก์ชำระหนี้ 6,565,377.55 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่แตกต่างกันมาก โจทก์จำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลเพื่อพิสูจน์ยอดหนี้ แต่ข้อโต้แย้งดังกล่าวเป็นเพียงทำให้การชำระหนี้ของโจทก์ ไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิได้แน่นอนว่าจะชำระหนี้เป็นจำนวนใด อันทำให้โจทก์สามารถใช้สิทธิวางทรัพย์ด้วยการชำระหนี้ตามจำนวนที่โจทก์เห็นว่าถูกต้อง ณ สำนักงานวางทรัพย์ ซึ่งหากเป็นจำนวนที่ถูกต้องโจทก์ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 331 เมื่อโจทก์มีทางเลือกที่จะปฏิบัติได้โดยไม่ต้องนำคดีมาฟ้องศาล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
การตรวจคำฟ้อง ศาลชั้นต้นต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคท้าย ซึ่งบัญญัติว่า “ให้ศาลตรวจคำฟ้องนั้นแล้วสั่งให้รับไว้ หรือให้ยกเสียหรือให้คืนไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18” คำว่า ให้ยกเสียตามบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการยกฟ้องของโจทก์นั่นเอง ศาลจึงมีอำนาจยกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้องได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งรับฟ้องไว้ก่อน
เมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ปรากฏว่ามีการโต้แย้งสิทธิอันเป็นกรณีโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของโจทก์ทันที โดยมิได้มีคำสั่งรับคำฟ้องโจทก์ไว้ก่อนจึงชอบแล้ว
การที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องแล้วนำข้อเท็จจริงในคำฟ้องมาวินิจฉัยเกี่ยวกับคำฟ้องโจทก์และพิพากษายกฟ้อง เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามความหมายแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 131 (2) ซึ่งมีผลเป็นการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นไม่รับหรือคืนคำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18 จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลแก่โจทก์ตามมาตรา 151

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับชำระเงินจำนวน ๕,๕๗๕,๕๕๑.๕๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวไม่เกินกว่าจำนวน ๒๕๘,๙๑๙.๔๐ บาท จำเลยไม่มีสิทธิคิดเบี้ยปรับหรือดอกเบี้ยนับจากวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๒ เป็นต้นไป และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ธนาคารยังมิได้ชำระเงินแก่จำเลย โจทก์จึงยังไม่รับความเสียหาย ถือว่ายังไม่มีการโต้แย้งสิทธิประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๕ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียม ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ตามคำฟ้อง ของโจทก์มีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะให้รับฟังได้หรือไม่ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ตามกฎหมายแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มี ข้อเท็จจริงโดยสรุปฟังได้ว่า โจทก์กล่าวอ้างว่ายังเป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าอยู่แก่จำเลยจำนวน ๕,๕๗๕, ๕๕๑.๕๓ บาท แต่จำเลยเรียกให้โจทก์ชำระหนี้จำนวน ๖,๕๖๕,๓๗๗.๕๕ บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่แตกต่างกันมาก เป็นกรณีที่มีปัญหาโต้แย้งอยู่ว่าโจทก์ยังติดค้างหนี้อยู่แก่จำเลยจำนวนเท่าใดก็ตาม แต่ข้อโต้แย้งดังกล่าวเป็นเพียงทำให้การชำระหนี้ของโจทก์ ไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิได้แน่นอนว่าจะชำระหนี้เป็นจำนวนเท่าใด อันทำให้โจทก์สามารถใช้สิทธิวางทรัพย์ ด้วยการชำระหนี้ตามจำนวนที่โจทก์เห็นว่าถูกต้อง ณ สำนักงานวางทรัพย์ได้ ซึ่งการชำระหนี้ด้วยการวางทรัพย์ดังกล่าวหากเป็นการชำระหนี้จำนวนที่ถูกต้องแท้จริงก็ย่อมทำให้โจทก์หลุดพ้นจากความรับผิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๓๑ ข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ที่ว่า จำเลยทวงถามให้โจทก์ชำระหนี้ในยอดเงินที่สูงกว่าจำนวน ที่โจทก์ควรจะรับดังกล่าว แม้จะเป็นความจริง แต่โจทก์ก็มีทางเลือกที่จะปฏิบัติได้โดยหาต้องนำคดีมาฟ้องศาลไม่ ข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ส่วนข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า เมื่อจำเลยทวงถามให้โจทก์ชำระหนี้จะทำให้ธนาคารผู้ค้ำประกันหนี้ของโจทก์จะต้องชำระหนี้ไปแทน ก็เป็นข้ออ้างลอย ๆ โดยไม่ปรากฏว่าธนาคารผู้ค้ำประกันได้ชำระหนี้ไปแล้วหรือไม่ ข้ออ้างของโจทก์จึงเป็นข้อที่โจทก์คาดหมายเอา ยังถือไม่ได้ว่าสิทธิของโจทก์ได้ถูกโต้แย้งแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่โจทก์อุทธรณ์ข้อต่อไปว่าการที่ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำสั่ง รับฟ้องของโจทก์ แต่กลับพิเคราะห์ข้อเท็จจริงและพิพากษาคดีของโจทก์ เป็นคำพิพากษาไม่ชอบ เพราะไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘ ที่กำหนดให้ศาลมีคำสั่งเพียงรับคำฟ้อง ไม่รับคำฟ้องหรือคืนคำฟ้องเท่านั้น เห็นว่า ในการพิจารณาตรวจรับคำฟ้องของศาลชั้นต้นต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคท้าย ซึ่งบัญญัติว่า ” ให้ศาลตรวจคำฟ้องนั้นแล้วสั่งให้รับไว้ หรือให้ยกเสียหรือให้คืนไป ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘ ” คำว่า ให้ยกเสียตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นการยกฟ้องของโจทก์นั่นเอง จึงถือว่าศาลย่อมมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในชั้นตรวจคำฟ้องได้โดยหาจำต้องมีคำสั่งรับฟ้องโจทก์ไว้เสียก่อนไม่ ดังนั้น หากศาลชั้นต้นได้ตรวจ คำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่า โจทก์ไม่อาจชนะคดีได้ตามคำฟ้องก็ชอบที่จะต้องพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสียเท่านั้น คดีนี้ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ปรากฏว่ามีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์จึงเป็นกรณีโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทันที โดยมิได้มีคำสั่งรับคำฟ้องโจทก์ไว้ก่อนจึงชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อสุดท้ายมีว่า เมื่อศาลชั้นต้นไม่รับคำฟ้องของโจทก์ จะต้องคืนค่าธรรมเนียม ทั้งหมดแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องแล้วนำข้อเท็จจริงในคำฟ้องมาวินิจฉัยเกี่ยวกับ คำฟ้องโจทก์ เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๑ (๒) ซึ่งมีผลเป็นการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับหรือคืนคำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘ จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลแก่โจทก์ได้ ตามมาตรา ๑๕๑ ที่ศาลชั้นต้นให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ .

Share