คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2063/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 358 และ 362 ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงให้จำคุกไม่เกินสามปีและไม่เกินหนึ่งปีตามลำดับ โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจึงต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ
ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาได้ความว่า การกระทำของจำเลยต้องด้วยเหตุฉกรรจ์ตาม ป.อ. มาตรา 359 (4) และมาตรา 365 (2) แต่การที่พนักงานอัยการโจทก์อ้างบทมาตรามาในฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 358 และมาตรา 362 มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด เพราะโจทก์อ้างมาตราตามข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง จึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้า แต่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องและตามที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตามมาตรา 192 วรรคสี่ จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามบทฉกรรจ์ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องต้องห้ามตามมาตรา 192 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2541 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของดาบตำรวจโชคชัย ลาชโรจน์ ผู้เสียหาย เพื่อถือการครอบครองที่ดินดังกล่าว โดยจำเลยใช้รถไถดันต้นไม้ต่าง ๆ ซึ่งปลูกอยู่จนล้มลง เป็นช่องทางผ่านที่ดินดังกล่าวกว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ดาบตำรวจโชคชัย ลาชโรจน์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และ 362 ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงให้จำคุกไม่เกินสามปีและไม่เกินหนึ่งปีตามลำดับ โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ โดยขอถือเอา คำฟ้องและบัญชีระบุพยานของพนักงานอัยการโจทก์เป็นคำฟ้องและบัญชีระบุพยานของโจทก์ร่วมด้วย เท่ากับโจทก์ร่วมประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราเดียวกับที่พนักงานอัยการโจทก์ระบุมาท้ายฟ้องนั่นเอง เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า ตามทางพิจารณาได้ความว่า การกระทำของจำเลยต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359 (4) และมาตรา 365 (2) ซึ่งต่างมีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี การที่พนักงานอัยการโจทก์อ้างบทมาตราว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และ 362 เป็นการอ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษตามฐานความผิดที่ถูกต้องดังที่พิจารณาได้ความดังกล่าวได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น เห็นว่า กรณีนี้หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดแต่อย่างใดไม่ เพราะโจทก์อ้างมาตราตามข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า แต่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องและตามที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตามมาตรา 192 วรรคสี่ ดังนั้น แม้จะฟังว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาได้ความว่า การกระทำของจำเลยต้องด้วยเหตุฉกรรจ์ตามบทมาตราที่โจทก์ร่วมอ้างมาดังกล่าวก็ไม่อาจลงโทษจำเลยตามบทมาตรานั้น ๆ ได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง คงลงโทษได้ตามบทมาตราที่อ้างมาในฟ้องเท่านั้น และเมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share