คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 206/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเข้าไปทำนาในที่พิพาท ได้ไถทำลายต้นข้าวที่โจทก์ได้หว่านไว้เสียหาย แม้ที่พิพาทจะเป็นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินซึ่งประชาชนมีสิทธิใช้ร่วมกันตามป.ม.แพ่งฯมาตรา 1304 ข้อ 2 ผู้หนึ่งผู้ใดหามีกรรมสิทธิหรือสิทธครอบครองอย่างใดไม่ – ก็ตามจำเลยก็ต้องมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 324 แต่ไม่เป็นผิดฐานบุกรุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีที่ดินเนื้อที่ ๔๐ ไร่ เศษ ได้โก่นสร้างและครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมา ยังไม่มีหนังสือสำคัญ เมื่อวันที่ ๔, – ๕ , – ๖ เมษายน ๒๔๙๓ เวลากลางวัน จำเลยบังอาจเข้าไถต้นข้าวชองโจทก์ ซึ่งหว่านไว้ในที่ดินแปลงนี้ และบังอาจบุกรุกทำลายหัวคันนา เจตนาเข้าครอบครองทรัพย์ของโจทก์โดยรู้ดีว่าเป็นที่ดินของโจทก์ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๒๔, ๓๒๗, ๖๓, ๗๐. และเรียกค่าเสียหาย ๔๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา
๓๒๔, ๓๒๗, ปรับคนละ ๑๐๐ บาทกับให้ใช้ค่าเสียหาย ๓๕๐๐ บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่คดีอาญานายอิ่ม จำเลยวายชนม์ จึงเป็นอันระงับไปในทางแพ่ง – ให้เป็นไปตามกระบวนพิจารณาว่าด้วยการรับมรดกความ
นางวิง, นางปาน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า คดีได้ความว่าที่พิพาทเป็นที่หนองลาดควาย อันเป็นที่สาธารณะประโยชน์ หาใช่เป็นที่ดินของจำเลยไม่ ที่พิพาทจึงเป็นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งประชาชนใช้ร่วมกันตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๓๐๔ ข้อ ๒ แม้โจทก์กล่าวในฟ้องว่า เป็นที่ดินที่โจทก์มีกรรมสิทธิและได้ครอบครองตลอดมา ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ทั้งมิใช่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่ปรากฎในฟ้อง เป็นแต่ว่าที่พิพาทเช่นนี้ โจทก์หรือผู้หนึ่งผู้ใดหามีกรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครองอย่างใดไม่ การทีจำเลยเข้าไปทำนาในที่พิพาท จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานลบุกรุกตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา
๓๒๗ คงมีผิดเพียงฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา ๓๒๔ เพราะปรากฎว่าจำเลยเข้าไปไถทำลายต้นข้าวที่โจทก์ได้หว่านไว้ในเนื้อที่ ๕ ไร่เศษ ทำให้โจทก์เสียหาย
จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๒๔ กำหนดโทษตามเดิม ส่วนค่าเสียหายให้ใช้แก่โจทก์เพียง ๑๐๐๐ บาท ฯลฯ

Share