แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีไม้ประดู่และไม้มะค่าโมงแปรรูปเป็นไม้หวงห้ามเกินกว่า 0.20 ลูกบาศก์เมตร โดยไม่เสียค่าภาคหลวงและโดยไม่รับอนุญาต จำเลยต่อสู้ว่าไม้แปรรูปของกลางเกิดในที่ดินของผู้มีชื่อจึงเป็นไม้ที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 48,50(4) แต่จำเลยนำสืบไม่ได้ความตามข้อต่อสู้ จำเลยจึงไม่พันผิด
ข้อเท็จจริงที่ว่าไม้ของกลางเกิดในที่ดินของผู้มีชื่อตามข้อต่อสู้ของจำเลยหรือไม่นั้น เมื่อคู่ความนำสืบไว้แล้วแต่ศาลล่างมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยเองได้
โจทก์ได้บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยมาแต่อ้างบทมาตราผิดศาลมีอำนาจปรับบทกฎหมายที่ถูกต้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีไม้ประดู่แปรรูป 125 ท่อน ปริมาตร5.78 ลูกบาศก์เมตร และไม้มะค่าโมงแปรรูปจำนวน 15 ท่อน ปริมาตร 1.11ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามเกิน 0.20 ลูกบาศก์เมตรไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และมิได้เสียค่าภาคหลวง
จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่าไม้แปรรูปของกลางเกิดในที่ดินมีกรรมสิทธิ์ของนายสุข นายแล จึงเป็นไม้ที่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่า จำเลยครอครองไม้แปรรูปของกลางโดยรู้ว่าเป็นไม้แปรรูปหวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต พิพากษาลงโทษจำคุก4 เดือน ปรับ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า ไม้แปรรูปของกลางเกิดในที่ดินของเอกชน จึงไม่เป็นไม้หวงห้ามและไม่เป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 50(4)
พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่จะถือว่าไม่เป็นความผิดเพราะได้รับยกเว้นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป่าไม้ที่จำเลยกล่าวอ้างนั้นข้อเท็จจริงจะต้องฟังได้ว่า ไม้แปรรูปของกลางนั้นเกิดจากที่ดินมีกรรมสิทธิ์ของเอกชนไม่ได้ขึ้นในป่าจึงจะไม่เป็นไม้หวงห้าม แต่ข้อเท็จจริงนี้ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยไว้ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยเสียเองโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
กรณีที่จะถือว่าจำเลยได้รับยกเว้นไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายป่าไม้ดังกล่าว จำเลยมีหน้าที่จะต้องนำสืบให้ได้ความเข้าข้อยกเว้นตามกฎหมายที่จำเลยกล่าวอ้าง แต่นายสุข นายแล และนายบ่ายพยานจำเลยเบิกความลอย ๆ ว่านายสุข นายแลเป็นเจ้าของที่ดินมี ส.ค.1ที่ไม้แปรรูปของกลางเกิดขึ้นในที่ดิน โดยไม่มีหลักฐานสิทธิเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินหรือไม้แปรรูปของกลางเกิดขึ้นในที่ดินมาแสดงต่อศาลและขัดต่อคำให้การรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวน ทั้งมิได้อ้างถึงนายแล นายสึขเป็นพยานในชั้นสอบสวนด้วยพยานจำเลยจึงเป็นพิรุธไม่มีน้ำหนักให้รับฟังดังที่จำเลยกล่าวอ้าง จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 48 ที่แก้ไขใหม่ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518มาตรา 19 ซึ่งโจทก์มิได้อ้างมา ศาลฎีกาเห็นว่าศาลมีอำนาจปรับบทกฎหมายที่ถูกต้องได้ คำพิพากษาฎีกาที่ 644/2489 ที่จำเลยอ้างนั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้
พิพากษายืน