คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3188/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากตัวแทนจำหน่ายของจำเลยราคา 68,000 บาท ชำระในวันทำสัญญา 16,000 บาท และผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท ตลอดมา ชำระงวดสุดท้ายแล้ว 40,000 บาท เมื่อโจทก์ขอให้แก้ชื่อในทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ ตัวแทนของจำเลยและจำเลยขอผัดเรื่อยมาจึงขอให้บังคับจำเลยจัดการจดทะเบียนรถยนต์แก้ชื่อเป็นชื่อของโจทก์ ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม โจทก์หาจำต้องแสดงหลักฐานสัญญาเช่าซื้อประกอบข้ออ้างในคำฟ้องไม่
โจทก์ฟ้องว่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยโดยมี ส.ตัวแทนจำหน่ายของจำเลย ดังนี้ การที่ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยรู้แล้วยอมให้ ส.เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลย จำเลยต้องรับผิดเสมือนว่า ส.เป็นตัวแทนของจำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยตามข้อหาในฟ้องที่ว่า ส.เป็นตัวแทนของจำเลย ไม่เป็นการเกินไปกว่าที่ปรากฏในฟ้อง
แม้โจทก์บรรยายฟ้องและขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนแก้ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทตามสัญญาซึ่งโจทก์เรียกว่าสัญญาเช่าซื้อ แต่เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าสัญญานั้นเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข และโจทก์ได้ชำระราคารถยนต์พิพาทครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามสัญญานั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องเรียกชื่อสัญญาดังกล่าวว่าสัญญาเช่าซื้อ หาเป็นข้อสารสำคัญไม่ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนแก้ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทได้

ย่อยาว

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยราคา ๖๘,๐๐๐ บาท ชำระแล้วในวันทำสัญญา ๑๖,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท การขายรถยนต์ดังกล่าวมีนายสุนทรเจ้าของห้างสุนทรบริการตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของจำเลยเป็นผู้จัดการขายให้โจทก์ โจทก์ชำระเงินงวดสุดท้ายแล้วแต่จำเลยไม่จัดการโอนทะเบียนให้ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า นายสุนทรไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของจำเลย บริษัทอุดรเจริญศรี (๑๙๖๘) เป็นตัวแทนของจำเลย โจทก์ทำสัญญาซื้อรถคันพิพาทจากจำเลย โจทก์ผิดนัดไม่ชำระเงินค่างวด สัญญาจึงเลิกกัน โจทก์ไม่แสดงสัญญาเช่าซื้อจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม และสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
สำนวนที่สอง จำเลยในสำนวนแรกเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์สำนวนแรกเป็นจำเลย ให้คืนรถคันพิพาทหรือใช้ราคา
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อรถคันพิพาทจากตัวแทนของโจทก์และชำระราคาแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและเรียกโจทก์สำนวนแรกและจำเลยในสำนวนที่ ๒ ว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และเรียกจำเลยในสำนวนแรกกับโจทก์ในสำนวนที่ ๒ ว่าจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนทะเบียนกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทนจำเลย
บริษัทสหไทยไฟแนนซ์ จำกัด จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เสียด้วย แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ
นายวิจิตรโจทก์ที่ ๑ และบริษัทสหไทยไฟแนนซ์ จำกัด จำเลยฎีกา
คดีมีประเด็นมาสู่ศาลฎีกาดังนี้
๑. ฟ้องโจทก์สำนวนแรกเคลือบคลุมหรือไม่
๒. นายสุนทรเป็นตัวแทนหรือตัวแทนเชิดของจำเลยหรือไม่
๓. ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่านายสุนทรเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยเกินไปกว่าที่ปรากฏในฟ้องสำนวนแรกหรือไม่
๔. โจทก์ที่ ๑ ชำระราคารถพิพาทให้จำเลยครบถ้วนตามสัญญาแล้วหรือไม่
๕. โจทก์สำนวนแรกมีอำนาจฟ้องหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในประเด็นข้อ ๑ โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากตัวแทนจำหน่ายของจำเลยราคา ๖๘,๐๐๐ บาท ชำระในวันทำสัญญา และผ่อนชำระเป็นรายเดือนๆ ละ ๒,๐๐๐ บาทตลอดมา ชำระงวดสุดท้ายแล้ว ๔๐,๐๐๐ บาท เมื่อโจทก์ขอให้แก้ชื่อในทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของตัวแทนของจำเลยและจำเลยขอผัดเรื่อยมา ได้มอบอำนาจให้ทนายความแจ้งไปยังจำเลย จำเลยกลับมีหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญามายังโจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยจัดการจดทะเบียนรถยนต์แก้ชื่อเป็นชื่อโจทก์ในฐานะเป็นเจ้าของดังนี้ เห็นว่าเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว หาจำต้องแสดงหลักฐานหนังสือสัญญาเช่าซื้อประกอบข้ออ้างดังฎีกาจำเลยไม่ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ประเด็นข้อ ๒,๓ ที่ว่านายสุนทรเป็นตัวแทนหรือตัวแทนเชิดของจำเลยหรือไม่ และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นตัวแทนเชิดนั้นเกินไปกว่าที่ปรากฏในฟ้องหรือไม่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานบุคคลของโจทก์หลายปากได้แก่ผู้ซื้อรถยนต์มาสด้าจากนายสุนทรเบิกความว่าที่ห้างของนายสุนทรทั้งในอำเภอเมืองสกลนคร และอำเภอพังโคนมีป้ายโฆษณาว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มาสด้าทั้งโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียงท้องถิ่น ประกอบกับพยานบุคคลและพยานเอกสารของจำเลยแสดงว่าจำเลยยอมรับรองการกระทำของนายสุนทรว่าเป็นการจำหน่ายรถยนต์แทนจำเลย ถือได้ว่ายอมให้นายสุนทรเชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยในการขายรถยนต์พิพาทให้โจทก์ จำเลยต้องรับผิด ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ทราบถึงการกระทำของนายสุนทร ไม่ได้ยอมให้นายสุนทรเชิดตัวเองเป็นตัวแทนนั้น เห็นว่าได้ความตามคำเบิกความของนายประสิทธิ์พยานจำเลยประกอบพยานเอกสารหมาย ล.๘ และ ล.๙ ซึ่งเป็นบันทึกคำเบิกความในคดีอื่นของนายเจริญกรรมการผู้จัดการบริษัทอุดรเจริญศรี จำกัด ว่า บริษัทดังกล่าวนี้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มาสด้าของจำเลย รถยนต์บริษัทได้ให้นายสุนทรรับรถยนต์มาสด้าของจำเลยไปจำหน่ายโดยแบ่งประโยชน์ให้นายสุนทรครึ่งหนึ่งการขายเงินสด นายสุนทรจะส่งเงินให้บริษัทส่งต่อไปให้จำเลย จำเลยจะออกหลักฐานพร้อมทั้งใบโอนรถให้ ถ้าขายเงินผ่อนนายสุนทรจะให้ผู้ซื้อลงชื่อในแบบฟอร์มสัญญาของจำเลยกับบันทึกรายละเอียดข้อตกลงเรียกว่าใบปะหน้าส่งให้บริษัทพร้อมกับเงินดาวน์ส่งต่อไปยังจำเลย เจ้าหน้าที่ของจำเลยจะกรอกข้อความตามใบปะหน้าที่นายสุนทรทำ เป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข เอกสารหมาย ล.๑ และ จำเลยเก็บใบปะหน้าไว้ กับปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๗ ซึ่งเป็นบันทึกคำเบิกความในคดีอื่นของนายประสิทธิ์ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าเร่งรัดหนี้สินของจำเลยว่า ใบปะหน้านี้ตัวแทนจำเลยเป็นผู้บันทึกตามคำบอกกล่าวของผู้ซื้อ และบางทีมีลายมือชื่อของผู้บันทึกด้วย พฤติการณ์เหล่านี้แสดงว่าจำเลยทราบถึงการกระทำของนายสุนทรตลอดมา รับฟังได้ว่าจำเลยรู้แล้วยอมให้นายสุนทรเชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดเสมือนว่านายสุนทรเป็นตัวแทนของจำเลย และการวินิจฉัยดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยตามข้อหาในฟ้องที่ว่านายสุนทรเป็นตัวแทนของจำเลย จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญานั้นแล้ว จึงหาเกินไปกว่าที่ปรากฏในฟ้องดังจำเลยฎีกาไม่
ประเด็นข้อ ๔ ที่ว่าโจทก์ที่ ๑ ชำระราคารถยนต์พิพาทให้จำเลยครบถ้วน ตามสัญญาแล้วหรือไม่ ดังวินิจฉัยข้างต้นแล้วว่านายสุนทรเป็นตัวแทนของจำเลย ประกอบกับข้อเท็จจริงยุติโดยคู่ความมิได้โต้เถียงกันว่า โจทก์ที่ ๑ ได้ชำระราคารถยนต์พิพาทให้นายสุนทรครบถ้วนแล้ว ดังนี้ เห็นว่า การที่โจทก์ที่ ๑ ชำระราคารถยนต์ให้แก่นายสุนทรรับไว้ในฐานะตัวแทนของจำเลย จึงมิใช่เป็นการชำระต่อผู้อื่น จึงหาอาจถือว่าเป็นเพียงการฝากส่งให้จำเลยตามสัญญาเอกสารหมาย ล.๑ ข้อ ๓ ดังที่จำเลยฎีกานั้นไม่ ฟังได้ว่าโจทก์ที่ ๑ ชำระราคารถยนต์พิพาทให้จำเลยครบถ้วนตามสัญญาแล้ว
ประเด็นข้อ ๕ ในสำนวนแรก โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ข้อเท็จจริงยุติว่าสัญญาเกี่ยวกับรถยนต์พิพาทระหว่างนายวิจิตรโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรกกับจำเลยตามเอกสารหมาย ล.๑ เป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข มิใช่สัญญาเช่าซื้อดังที่โจทก์เรียกชื่อมาในฟ้องในปัญหาที่ว่าโจทก์ที่ ๑ มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยตามสัญญาเอกสารหมาย ล.๑ ดังกล่าวหรือไม่นั้นเห็นแม้ว่าแม้โจทก์บรรยายฟ้องและขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนแก้ชื่อโจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทตามสัญญาซึ่งโจทก์เรียกว่าสัญญาเช่าซื้อ แต่เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าสัญญานั้นเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขตามเอกสารหมาย ล.๑ ซึ่งผูกพันระหว่างโจทก์ที่ ๑ และจำเลยอยู่ประกอบกับข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังวินิจฉัยข้างต้นว่า โจทก์ที่ ๑ ได้ชำระราคารถยนต์พิพาทครบถ้วนแล้ว ดังนี้โจทก์ที่ ๑ จึงได้กรรมสิทธิ์รถยนต์ตามสัญญานั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องเรียกชื่อสัญญาดังกล่าวว่าสัญญาเช่าซื้อ หาเป็นข้อสารสำคัญไม่ และโจทก์ที่ ๑ มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนแก้ชื่อโจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทได้ตามสัญญาข้อ ๑๑
พิพากษาแก้ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยให้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลทั้งสองสำนวนแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม ๔,๐๐๐ บาท.

Share