คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 205/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยรวมเอาดอกเบี้ยที่เรียกเกินกฎหมายไว้ด้วยจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาซึ่งจะถือว่าจำเลยที่ 3 รับตามฟ้องไม่ได้ แม้โจทก์จะได้ส่งคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาต่อศาลเพื่อแสดงว่า กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยออกเช็คพิพาทแล้วนำไปแลกเงินสด การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจึงไม่เป็นการต้องห้ามเพราะไม่ใช่เรื่องกู้ยืมเงินก็เป็นเพียงคำบอกเล่า ศาลชอบที่จะให้โจทก์นำสืบให้ได้ความตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์จึงไม่ชอบ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินตามเช็ค 5 ฉบับ พร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 190,235.86 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องในต้นเงิน 179,250 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่าได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คทั้ง 5 ฉบับ ตามฟ้องจริง แต่มูลหนี้ตามเช็คทั้ง 5 ฉบับไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้รวมเอาดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การต่อสู้คดีว่าเช็คทั้ง 5 ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยรวมเอาดอกเบี้ยที่เรียกเกินกฎหมายไว้ด้วย ซึ่งหากเป็นความจริงดังข้อต่อสู้ของจำเลย จำนวนเงินตามเช็คทั้ง 5 ฉบับ เฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบี้ยที่เกินกฎหมายย่อมตกเป็นโมฆะ จึงเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่าหากเป็นความจริงก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะไปว่ากล่าวเอากับโจทก์เป็นอีกกรณีหนึ่ง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เป็นเรื่องที่จำเลยออกเช็คพิพาทแล้วนำไปแลกเงินสดการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจึงไม่เป็นการต้องห้ามเพราะมิใช่เรื่องกู้ยืมเงินนั้น เห็นว่าคดีเรื่องนี้ไม่ได้มีการสืบพยาน ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวจากคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาซึ่งโจทก์ส่งต่อศาล คำเบิกความของโจทก์ในคดีอาญาจึงเป็นเพียงคำบอกเล่า นอกจากนั้นปรากฏว่าโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คทั้ง5 ฉบับ และจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ซึ่งจะถือว่าจำเลยที่ 3 รับตามฟ้องไม่ได้โจทก์จึงต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้อง ฉะนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามฟ้องให้แก่โจทก์จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังขึ้น
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานไปตามประเด็นในคำฟ้อง คำให้การ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งใหม่’

Share