คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5619/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมทางพิพาทเป็นทางเข้าออกตลาดรวมอยู่ในที่ดินแปลงเดียวกับตลาด การใช้ทางพิพาทในช่วงนี้จึงเป็นการใช้ในฐานะอาศัยเจ้าของที่ดิน ต่อมาตลาดเลิกไปมีการสร้างตึกแถวขึ้น โจทก์เพียงแต่เช่าตึกแถวดังกล่าวซึ่งอยู่บนที่ดินแปลงเดียวกับทางพิพาท การใช้ทางพิพาทของโจทก์ในช่วงนี้จึงมิใช่เป็นการใช้ในฐานะเจ้าของที่ดินแปลงอื่น หรือเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงอื่นไม่เป็นการใช้สิทธิภาระจำยอมเมื่อมีการแบ่งแยกโฉนดที่ดินที่ปลูกตึกแถวออกเป็นแปลง ๆ และที่ดินอันเป็นทางพิพาทแยกเป็นคนละแปลงจากที่ดินที่โจทก์อยู่ การใช้ทางพิพาทของโจทก์จึงเป็นการใช้สิทธิภาระจำยอมนับแต่บัดนั้นซึ่งเมื่อนับถึงวันที่จำเลยปิดกั้นทางพิพาทยังไม่ครบ 10 ปี โจทก์จึงยังไม่ได้สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความ ไม่อาจฟ้องให้จำเลยเปิดทางได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๕ เป็นเจ้าของตึกแถว ๖ คูหา โจทก์ที่ ๒ และที่ ๔ เป็นผู้ครอบครองตึกแถว ๒ คูหา เดิมที่ดินที่สร้างตึกแถวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของตลาดแม้นศรีซึ่งรวมถึงทางเข้าออกตลาดแม้นศรี เป็นของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุทธิสิริโสภา ต่อมากิจการตลาดเลิกไปมีการสร้างตึกแถว ๑๖ คูหา และโอนขายให้โจทก์ทั้งห้ารวม ๘ คูหา โจทก์ทั้งห้าคงใช้ทางเข้าออกเดิม คือที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๖๗๖ แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ ๑๒ ตารางวา ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๒๔ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุทธิสิริโสภาทรงขายที่ดินซึ่งเป็นทางเข้าออกแก่จำเลย และเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ จำเลยปิดกั้นทางดังกล่าว ขอให้พิพากษาให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งห้าใช้ทางเดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๒๖๗๖ โดยให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอม ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า การใช้สิทธิผ่านทางพิพาทของโจทก์ทั้งห้าเป็นการอาศัยสิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์ จำเลยซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๑ การอาศัยสิทธิผ่านทางพิพาทของโจทก์ยังไม่ครบ ๑๐ ปี จึงไม่ได้สิทธิภาระจำยอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งห้าใช้ทางเดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๒๖๗๖ เนื้อที่ประมาณ ๑๒ ตารางวา โดยให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิภาระจำยอม ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่าโจทก์ทั้งห้าได้สิทธิภาระจำยอมบนทางพิพาทอันจะมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่ามาตรา ๑๓๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งปละพาณิชย์ บัญญัติว่า อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นจึงเห็นได้ว่าการที่จะมีภาระจำยอมได้ จะต้องมีที่ดินสองแปลง โดยที่ดินแปลงหนึ่งตกอยู่ในภาระจำยอมของที่ดินอีกแปลงหนึ่ง และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ การที่จะได้ภาระจำยอมโดยอายุความจะต้องเป็นการใช้สิทธิเพื่อตนมิใช่เป็นการอาศัย แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ถึง ๒๕๐๙ ทางพิพาทกับตลาดแม้นศรีรวมอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๔ แปลงเดียวกัน ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกตลาดแม้นศรี การใช้ทางพิพาทในช่วงนี้จึงเป็นการใช้ในฐานะอาศัยเจ้าของที่ดินไม่เป็นการใช้สิทธิภาระจำยอมและสำหรับในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ถึง ๒๕๒๐ นั้น โจทก์ทั้งห้าเพียงแต่เช่าตึกแถวซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๔ อันเป็นแปลงที่รวมถึงที่ดินอันเป็นทางพิพาทนี้ด้วย ฉะนั้นการใช้ทางพิพาทของโจทก์ทั้งห้าในช่วงนี้ จึงมิใช่การใช้ในฐานะเจ้าของที่ดินแปลงอื่นหรือเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงอื่น และไม่เป็นการใช้สิทธิภาระจำยอมเช่นกันต่อเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เมื่อมีการแบ่งแยกโฉนดเลขที่ ๑๓๔ เป็นแปลงย่อย โดยแยกที่ดินที่ปลูกตึกแถวออกเป็นแปลง ๆ และที่ดินอันเป็นทางพิพาทแยกเป็นโฉนดเลขที่ ๑๒๖๗๖ เป็นคนละแปลงจากที่ดินที่ปลูกตึกแถวที่โจทก์ทั้งห้าอยู่ การใช้ทางพิพาทของโจทก์ทั้งห้าจึงเป็นการใช้สิทธิภาระจำยอมนับแต่บัดนั้น ซึ่งนับถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๕ อันเป็นปีที่จำเลยปิดกั้นทางพิพาท ยังไม่ครบ ๑๐ ปี โจทก์ทั้งห้าจึงยังไม่ได้สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความและไม่อาจฟ้องให้จำเลยเปิดทางได้ คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๓/๒๕๐๔ ที่โจทก์ทั้งห้าอ้างมาข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้
พิพากษายืน

Share