แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนเกิดเหตุผู้ตายซึ่งเมาสุรามากเดินตาม ส. ขึ้นไปชั้นบนของบ้านและได้พบกับจำเลย ผู้ตายมองหน้าจำเลยพร้อมกับพูดว่า ใครซ่า โดยจำเลยมิได้สมัครใจทะเลาะกับผู้ตาย ส. พาผู้ตายลงไปชั้นล่างแล้วผู้ตายเดินกลับขึ้นไปชั้นบนอีกและไปเตะประตูห้องพักที่จำเลยกับภริยาและบุตรซึ่งยังเล็กนอนอยู่ เป็นเหตุให้บุตรจำเลยร้องไห้ ดังนี้แม้ผู้ตายไม่มีอาวุธ และจำเลยซึ่งไม่พอใจการกระทำของผู้ตายดังกล่าวได้ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายฝ่ายเดียวก็ตาม แต่ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียวในลักษณะคุกคามรบกวนการพักผ่อนในห้องพักอาศัยของจำเลยกับภริยาและบุตรในเวลาดึกดื่นเช่นนั้น ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจากผู้ตาย การที่จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๓ เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยใช้เหล็กปลายแหลมแทงนายนิวัฒน์หรือนุ้ยหรือมุ้ย ขุนทอง ผู้ตายหลายครั้งโดยเจตนาฆ่า ถูกชายโครงซ้าย ใต้ลิ้นปี่และแขนขวาท่อนล่างส่วนกลาง เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๗๒ ให้จำคุก ๒ ปี และให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยคู่ความมิได้ฎีกาในชั้นนี้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย บาดแผลตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์เอกสารหมาย จ.๖ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะหรือไม่ โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยใช้มีดแทงผู้ตาย คงมีแต่นายสำเริง กระแสสาย และนางสมหวังแซ่โง้ว ภริยาจำเลยเป็นพยานแวดล้อมก่อนและหลังเกิดเหตุ โดยนายสำเริงเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่พยานขึ้นไปชั้นบนของบ้านเพื่อเอาเสื่อ มุ้ง และหมอนมาให้ผู้ตายนอนที่ชั้นล่าง ผู้ตายมีอาการเมาสุรามากเดินตามพยานขึ้นไปชั้นบนและได้พบกับจำเลยซึ่งเช่าห้องพักที่ชั้นบนติดกับห้องพยาน ผู้ตายมองหน้าจำเลยแล้วโต้เถียงกับจำเลยพยานบอกว่าไม่มีอะไรเป็นเพื่อนของพยาน พยานพาผู้ตายลงไปนอนชั้นล่างแล้วพยานกลับไปนอนที่ห้องชั้นบน ต่อมาประมาณครึ่งชั่วโมงได้ยินเสียงดังโครมหน้าห้องจำเลยเมื่อเปิดประตูห้องไปดูเห็นผู้ตายนอนฟุบอยู่ที่พื้นชั้นบนหน้าบันไดลงชั้นล่าง และเห็นจำเลยสวมกางเกงในตัวเดียวกระโดดลงไปชั้นล่าง และนางสมหวังเบิกความว่า ขณะที่พยานอยู่ในห้องนอนได้ยินเสียงผู้ตายเข้าไปพูดกับจำเลยแล้วต่อสู้กัน พยานเปิดไฟฟ้าขึ้นเห็นผู้ตายถูกแทงยืนอยู่ ส่วนจำเลยบอกพยานว่าจะไปทำแผลที่ฝ่ามือแล้วออกไปจากที่เกิดเหตุเห็นว่า ในชั้นสอบสวนทั้งนายสำเริงและนางสมหวังให้การตรงกันว่า เมื่อผู้ตายเดินตามนายสำเริงขึ้นไปชั้นบนผู้ตายมองหน้าจำเลยซึ่งยืนคุยอยู่กับนายสำเริงพร้อมกับพูดว่าใครซ่า ต่อมาก็ได้ยินเสียงดังโครมหน้าห้องจำเลย และเห็นผู้ตายนอนฟุบอยู่มีบาดแผลถูกแทงเท่านั้น นางสมหวังมิได้ให้การว่าผู้ตายมีอาวุธโถมเข้าหาจำเลย และแย่งอาวุธกันจนมีบาดแผลที่ฝ่ามือจำเลย นายสำเริงและนางสมหวังให้การชั้นสอบสวนหลังเกิดเหตุเพียง ๑ วัน และ ๒ วัน ตามลำดับ จึงไม่มีโอกาสไตร่ตรองเพื่อปรุงแต่งเรื่องขึ้นเพื่อช่วยเหลือจำเลยหรือปรักปรำผู้ตาย เชื่อว่านายสำเริงและนางสมหวังให้การชั้นสอบสวนตามความจริงกว่าที่เบิกความในชั้นศาลที่เพิ่งเบิกความหลังเกิดเหตุเป็นเวลาหลายปีซึ่งนางสมหวังมีโอกาสที่จะปรุงแต่งเรื่องขึ้นให้ผิดไปจากความจริงว่าผู้ตายมีอาวุธโถมเข้าหาจำเลยก่อน จึงแย่งอาวุธกันจนจำเลยมีบาดแผลที่ฝ่ามือเพื่อช่วยเหลือจำเลยผู้เป็นสามี ซึ่งถ้าผู้ตายมีอาวุธและกระทำดังนางสมหวังเบิกความจริง นางสมหวังจะต้องให้การดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวนตั้งแต่แรกให้การแล้ว เพราะอาจจะทำให้จำเลยพ้นผิดหรือได้รับโทษน้อยลงได้ แต่นางสมหวังหาได้ให้การเช่นนั้นไม่ นอกจากนี้ยังปรากฏตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์เอกสารหมาย จ.๖ ว่า ผู้ตายถูกแทงถึง ๓ แผล โดยเฉพาะแผลใต้ชายโครงซ้ายและแผลใต้ลิ้นปี่ลึกเข้าช่องท้องถูกลำไส้ใหญ่ฉีกขาดทะลุถึง ๒ แห่ง ลำไส้เล็กฉีกขาดทะลุอีก ๒ แห่ง และเส้นเลือดใหญ่ในช่องท้องฉีกขาด และนายแพทย์จำเนียร สิริวัตถานนท์ ผู้ตรวจบาดแผลเบิกความยืนยันว่า บาดแผลดังกล่าวเกิดจากการแทงที่แรงมาก และหาใช่บาดแผลที่เกิดจากการแทงในขณะแย่งมีดกันดังจำเลยอ้างไม่ เพราะถ้าจำเลยแทงในขณะแย่งมีดกับผู้ตาย จำเลยจะไม่มีโอกาสแทงอย่างแรงมากเช่นนั้น ส่วนบาดแผลที่ฝ่ามือจำเลยนั้นแม้จะมีอยู่จริง แต่จำเลยมิได้นำแพทย์ประจำคลินิกที่ตรวจบาดแผลมาเป็นพยาน ทั้งมิได้นำพยานอื่นมาสืบสนับสนุนในข้อนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าบาดแผลที่ฝ่ามือจำเลยเกิดจากการแย่งมีดกับผู้ตายในวันเกิดเหตุดังจำเลยอ้าง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายซึ่งเมาสุรามากเดินตามนายสำเริงขึ้นไปชั้นบนแล้วมองหน้าจำเลยพร้อมกับพูดว่าใครซ่า โดยจำเลยมิได้สมัครใจทะเลาะกับผู้ตาย ต่อจากนั้นหลังจากผู้ตายลงไปชั้นล่างแล้ว ผู้ตายเดินกลับขึ้นชั้นบนอีกและไปเตะประตูห้องเช่าที่จำเลยกับภริยาและบุตรซึ่งยังเล็กนอนอยู่จนบุตรจำเลยร้องไห้ดังนี้แม้ผู้ตายไม่มีอาวุธ และจำเลยซึ่งไม่พอใจการกระทำของผู้ตายดังกล่าวได้ใช้มีดแทงผู้ตายฝ่ายเดียวโดยไม่มีการแย่งมีดกันก่อนแต่อย่างใดก็ตาม แต่การกระทำของผู้ตายดังกล่าว ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียวในลักษณะคุกคามรบกวนการพักผ่อนในห้องพักอาศัยของจำเลยกับภริยาและบุตรในเวลาดึกดื่นเช่นนั้น ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจากผู้ตาย การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะชอบแล้ว ฎีกาโจทก์อย่างไรก็ตามจากพฤติการณ์ที่ผู้ตายเมาสุรามากไปเตะประตูห้องจำเลยโดยผู้ตายไม่มีอาวุธ ซึ่งจำเลยสามารถบอกให้นายสำเริงซึ่งพักอยู่ห้องติดกับห้องจำเลยพาผู้ตายลงไปชั้นล่างก่อนได้ หรือจะใช้เพียงกำลังกายทำร้ายผู้ตายก็เป็นการเพียงพอที่จะหยุดยั้งการกระทำของผู้ตายได้ จำเลยหาจำต้องใช้มีดแทงผู้ตายอย่างแรงมากหลายแผลไม่ การกระทำของจำเลยถือว่ารุนแรงเกินไป และยังไม่มีเหตุรอการลงโทษให้จำเลย แต่ชั้นจับกุมจำเลยให้การรับว่าแทงผู้ตายจริง และเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ ปี ๔ เดือน ไม่รอการลงโทษให้จำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.