แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรมธรรม์ประกันภัยเป็นเอกสารซึ่งผู้รับประกันภัยได้ทำขึ้นภายหลังที่ได้มีสัญญาประกันภัยเกิดขึ้นแล้ว และ ป.พ.พ.มาตรา 867 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้รับประกันภัยส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยอันมีเนื้อความต้องตามสัญญาประกันภัยแก่ผู้เอาประกันภัยหนึ่งฉบับ ดังนั้น การที่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยฟ้องผู้รับประกันภัยให้รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยไม่มีข้อโต้แย้งว่าเงื่อนไขต่างๆ ในกรมธรรม์ประกันภัยไม่ตรงกับสัญญาประกันภัย ผู้รับประกันภัยจึงอ้างเงื่อนไขจำกัดความรับผิดของผู้รับประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อปฏิเสธความรับผิดได้
ตามกรมธรรม์ประกันภัยมีเงื่อนไขว่าเมื่อมีการกระทำความผิดในทางอาญาโดยบุคคลใด ซึ่งทำให้เกิดสิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ ผู้เอาประกันต้องแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่ชักช้า และผู้รับประกันภัยอาจจะไม่รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ เว้นแต่ผู้เอาประกันภัยได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาประกันภัยและเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ การที่มีผู้ยืมเอารถยนต์ที่เช่าซื้อไปแล้วไม่เอามาคืนภายในระยะเวลาที่เคยยืมไปใช้ ย่อมต้องสันนิษฐานได้ว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย การกระทำของผู้เอารถยนต์ที่เช่าซื้อไป อาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์ สมควรที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องแจ้งความให้ดำเนินคดีโดยไม่ชักช้า การที่ผู้เอาประกันภัยเพิ่งแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่ผู้เอารถยนต์ที่เช่าซื้อในความผิดฐานลักทรัพย์หลังจากเกิดเหตุนานถึง 6 เดือน อาจเกิดผลเสียหายแก่ผู้รับประกันภัยได้ จึงถือไม่ได้ว่าผู้เอาประกันภัยได้ปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัย ผู้รับประกันภัยจึงยกขึ้นอ้างเป็นเหตุไม่ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชดใช้ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๓๒๖,๐๑๒.๕๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี่ ของต้นเงิน ๒๘๓,๔๘๙.๑๕ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ ๓ ผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๒๙๙,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี่ ของต้นเงิน ๒๖๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดเนื่องจากเงื่อนไขในสัญญาประกันภัย กรณีรถยนต์สูญหายจำเลยที่ ๑ ผู้เอาประกันภัยต้องแจ้งให้จำเลยที่ ๓ ทราบโดยไม่ชักช้าและต้องแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตามกฎหมายทันที แต่จำเลยที่ ๑ แจ้งให้จำเลยที่ ๓ ทราบล่าช้าทำให้เกิดความเสียหายต่อจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ ชำระเงินจำนวน ๒๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๐) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ ๓ ต่อโจทก์เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชำระค่าทนายความ ๑,๐๐๐ บาท ส่วนจำเลยที่ ๓ กำหนดค่าทนายความเป็นเงิน ๙,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๓ ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๖,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์นิสสัน หมายเลขทะเบียน ผ – ๕๗๔๕ ราชบุรี ไปจากโจทก์ในราคา ๒๘๓,๔๘๙.๑๕ บาท ตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือน ๔๐ งวด งวดละ ๗,๐๘๗.๒๒ บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๘ โดยจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้แก่จำเลยที่ ๓ สิ้นสุดวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๘ รถยนต์ที่เช่าซื้อพ้นไปจากความครอบครองของจำเลยที่ ๑
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๓ ในข้อแรกว่า จำเลยที่ ๓ จะอ้างเหตุไม่ใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากจำเลยที่ ๑ ผู้เอาประกันภัยผิดเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ ๑.๖ หรือไม่ เห็นว่า กรมธรรม์ประกันภัยเป็นเอกสารซึ่งผู้รับประกันภัยได้ทำขึ้นภายหลังที่ได้มีสัญญาประกันภัยเกิดขึ้นแล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๗ วรรคสอง บัญญัติว่า ให้ผู้รับประกันภัยส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยอันมีเนื้อความต้องตามสัญญาประกันภัยแก่ผู้เอาประกันภัยหนึ่งฉบับ โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยฟ้องจำเลยที่ ๓ ผู้รับประกันภัยให้รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๗ โดยไม่มีข้อโต้แย้งว่าเงื่อนไขต่างๆ ในกรมธรรม์ประกันภัยไม่ตรงกับสัญญาประกันภัย จำเลยที่ ๓ จึงอ้างเงื่อนไขจำกัดความรับผิดของผู้รับประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อปฏิเสธความรับผิดได้ ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๗ หัวข้อสัญญาหมวดที่ ๓ : การคุ้มครองความเสียหายหรือความสูญหายต่อรถยนต์ ข้อ ๓.๕.๔ ในกรณีที่รถยนต์สูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ บริษัทจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนเงินจำกัดความรับผิด… หัวข้อสัญญาหมวดที่ ๑ : เงื่อนไขทั่วไป ข้อ ๑.๖ การแจ้งความ : เมื่อมีการกระทำผิดในทางอาญาโดยบุคคลใด ซึ่งทำให้เกิดสิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์นี้ ผู้เอาประกันภัยต้องแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่ชักช้า และข้อ ๑.๙ เงื่อนไขบังคับก่อน : บริษัทอาจจะไม่รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์นี้ เว้นแต่ผู้เอาประกันภัยได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาประกันภัย และเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์นี้ เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อพ้นไปจากความครอบครองของจำเลยที่ ๑ ในวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเสาไห้ ตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๘ เอกสารหมาย จ.๑๒ ว่า ” … ผู้แจ้งได้รับโทรศัพท์จากนางเฉลา เยาวรัตน์ แจ้งให้ทราบว่าได้มานำเอารถยนต์ปิกอัพคันดังกล่าวของผู้แจ้งไปเมื่อเวลาประมาณ ๐๒.๐๐ น. และบอกยืมเอาไปใช้ค้าขายเป็นการชั่วคราว หลังจากนั้นผู้แจ้งจึงสำรวจพบว่ารถคันดังกล่าวของผู้แจ้งได้หายไปจากบริเวณที่จอดจริง และเชื่อว่านางเฉลาเป็นผู้นำรถคันดังกล่าวไปเนื่องจากเคยนำรถคันดังกล่าวไปใช้สอย ผู้แจ้งเกรงว่านางเฉลาจะนำรถคันดังกล่าวไปกระทำการในทางที่เสียหาย ผู้แจ้งซึ่งไม่รู้เห็นในการที่นางเฉลามานำเอารถไปจะได้รับความเดือดร้อน จึงได้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน” ขณะที่จำเลยที่ ๑ แจ้งความดังกล่าวยังไม่มีการกระทำความผิดในทางอาญาซึ่งทำให้เกิดสิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ประกันภัย เพราะนางเฉลาแจ้งต่อจำเลยที่ ๑ ว่ายืมรถยนต์ที่เช่าซึ้อไปใช้ และก่อนหน้านี้นางเฉลาก็เคยยืมไปใช้มาก่อนแล้ว จำเลยที่ ๑ เพียงแต่แจ้งความเป็นหลักฐานว่าจะไม่รับผิดชอบในการที่นางเฉลาอาจนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปกระทำการในทางที่เสียหายเท่านั้น จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๓๘ ก่อนที่นางเฉลามาเอารถยนต์ที่เช่าซื้อไปในครั้งที่เกิดเหตุเพียง ๑ เดือน ที่นางเฉลาเคยยืมรถยนต์ที่เช่าซื้อไปใช้ก่อนครั้งเกิดเหตุ แสดงว่าเป็นการยืมไปใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่เกิน ๑ เดือน การที่นางเฉลาเอารถยนต์ที่เช่าซื้อไปในครั้งเกิดเหตุแล้วไม่นำมาคืนภายในระยะเวลาที่เคยยืมไปใช้ จำเลยที่ ๑ ย่อมต้องสันนิษฐานได้ว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย การกระทำของนางเฉลาอาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์ สมควรที่จำเลยที่ ๑ จะต้องแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่นางเฉลาโดยไม่ชักช้า การที่จำเลยที่ ๑ เพิ่งแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีลงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๓๙ เอกสารหมาย จ.๑๓ ให้ดำเนินคดีแก่นางเฉลาในความผิดฐานลักทรัพย์ หลังจากที่นางเฉลาเอารถยนต์ที่เช่าซื้อไปในครั้งเกิดเหตุนานถึง ๖ เดือน อาจเกิดผลเสียหายแก่จำเลยที่ ๓ ได้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัยข้อ ๑.๖ ที่ให้ผู้เอาประกันภัยต้องแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่ชักช้า ซึ่งจำเลยที่ ๓ อ้างเป็นเหตุไม่ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ ๑.๙ ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ รับผิดต่อโจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ ๓ ในข้อนี้ฟังขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ ๓ ในข้อที่เหลือ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๓ ทั้งสามศาลให้เป็นพับ.