คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 204/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับ 500 บาท ในคดีบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ เพราะศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย แล้วพิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงแล้วพิพากษากลับให้ลงโทษตามศาลชั้นต้น

ย่อยาว

โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 30 เดือนกรกฎาคมพุทธศักราช 2522

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2521 เวลากลางวันจำเลยบุกรุกเข้าไปยึดเอาที่ดินบางส่วน เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเด็กชายพินิจ นาชัยฤทธิ์ กับพวกรวม 5 คน ซึ่งเป็นผู้เยาว์ อยู่ในความดูแลครอบครองรักษาของนางทองจันทร์ นาชัยฤทธิ์ มารดาผู้ปกครองโดยจำเลยได้ไถคราดปักดำในที่ดินดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข เหตุเกิดที่ตำบลหนองแปนอำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า นาเป็นของเด็กชายพินิจ กับพวกจำเลยเข้าไปทำนาโดยมิได้มีการพิสูจน์ของศาลก่อน จึงเป็นการบุกรุกพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ลงโทษปรับจำเลย 500 บาท ค่าปรับไม่ชำระจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่อ้างว่าเป็นข้อกฎหมายนั้น ก็ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลสูง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิไม่รับอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์สั่งให้รับอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของผู้เสียหายเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ผู้เสียหายกับภรรยาจำเลยยังโต้เถียงกันอยู่ว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด โดยภรรยาจำเลยฟ้องนางทองจันทร์ นาชัยฤทธิ์เป็นจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 107/2521 ของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ขอให้ศาลสั่งแสดงสิทธิครอบครอง คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่านางทองจันทร์ นาชัยฤทธิ์ เป็นภรรยานายสุพจน์ มีบุตรด้วยกัน 5 คน คือเด็กชายพินิจเด็กหญิงปราณี เด็กหญิงปรียา เด็กชายวิวัฒน์ และเด็กหญิงวันดี นายสุพจน์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2518 ขณะนี้บุตรทั้งห้าอยู่ในความปกครองของนางทองจันทร์ ก่อนถึงแก่กรรมนายสุพจน์มีที่ดิน 1 แปลง คือที่พิพาทตาม น.ส. 3 ก. (หนังสือรับรองการทำประโยชน์) เอกสารหมาย จ.1 เดือนมิถุนายน 2519 บุตรทั้งห้าของนางทองจันทร์ได้รับมรดกที่พิพาท โดยทำการโอนที่อำเภอกมลาไสย ตามเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.12 นายสุพจน์และนางทองจันทร์เคยทำกินในที่พิพาทมาก่อน เมื่อ 6 ปีมานี้ (ประมาณ พ.ศ. 2515) นายสุพจน์อนุญาตให้จำเลยเข้าทำกินในที่พิพาท เมื่อนายสุพจน์ถึงแก่กรรมนางทองจันทร์ก็อนุญาตให้จำเลยทำกินต่อไป ในปี พ.ศ. 2521 นางทองจันทร์จะเข้าทำกินในที่พิพาทจึงบอกให้จำเลยออกไป แต่จำเลยไม่ยอมออก โดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย นางทองจันทร์ไปแจ้งความต่อนายอ่อน จำปานิล กำนันตำบลหนองแปน กำนันเปรียบเทียบให้นางรั้วภรรยาจำเลยเสียค่าเช่าแต่นางรั้วไม่ยอมโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของนางรั้ว นางทองจันทร์จึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอกมลาไสย ให้ดำเนินคดีกับจำเลยในข้อหาบุกรุกที่ดิน เมื่อถูกจับจำเลยตกลงยอมออกจากที่พิพาทด้วยความสมัครใจร้อยตำรวจเอกวุฒิ จิตรจักร สารวัตรปราบปรามสถานีตำรวจภูธรอำเภอกมลาไสยบันทึกข้อตกลงไว้เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2521 ตามเอกสารหมาย จ.2 วันที่ 16 สิงหาคม 2521 เวลา 7.00 นาฬิกา จำเลยบุกรุกเข้าไถที่พิพาท นางทองจันทร์ไม่กล้าห้าม รุ่งขึ้นจำเลยเข้าไถอีก นางทองจันทร์จึงแจ้งความกล่าวหาว่าจำเลยบุกรุก และพาตำรวจไปจับดำเนินเป็นคดีนี้

จำเลยนำสืบว่า นายศรีจันทร์และนางทุมมีบุตร 4 คน คือนายอินนาชัยฤทธิ์ นางรั้วภรรยาจำเลย นายสุพจน์สามีนางทองจันทร์ และนางก้านอนึ่งนายศรีจันทร์ยังมีบุตรที่เกิดกับภรรยาอื่นอีก 6 คน นายศรีจันทร์ มีนา3 แปลง ได้ยกให้นายสุพจน์หนึ่งแปลง คือ นาทุ่งหนองโดย ยกให้นางรั้วหนึ่งแปลง คือ นาทุ่งนาฮี หรือที่พิพาท ส่วนอีกแปลงหนึ่งยกให้นายโสภา นาชัยฤทธิ์ นายศรีจันทร์ยกที่พิพาทให้นางรั้วเมื่อ 20 ปีมาแล้ว นางรั้วและจำเลยเข้าทำกินและเสียภาษีตลอดมา โดยนายสุพจน์หรือนางทองจันทร์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้อง นายศรีจันทร์และนายสุพจน์ถึงแก่กรรมไปแล้ว ตำรวจมีหมายเรียกให้นางรั้วและจำเลยไปสถานีตำรวจ กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทและทำให้เสียทรัพย์ นางทองจันทร์จะชดใช้ค่าไถนาพิพาทให้จำเลย300 บาท ชั้นแรกจำเลยไม่ยอมรับตำรวจอ้างว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายนางทองจันทร์ เพราะฝ่ายนางทองจันทร์มี น.ส.3 หากจำเลยไม่รับเงินจะขังจำเลย และตำรวจทำหนังสือให้จำเลยลงลายมือชื่อจำเลยกลัวจึงลงลายมือชื่อโดยไม่เต็มใจ จากนั้นจำเลยเข้าทำนาในที่พิพาทตามปกติ และถูกจับในเวลาต่อมา

ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า นางรั้วภรรยาจำเลยและนายสุพจน์ สามีนางทองจันทร์ ต่างเป็นบุตรนายศรีจันทร์ ที่พิพาทเดิมเป็นของนายศรีจันทร์ นายศรีจันทร์ถึงแก่กรรมก่อนนายสุพจน์ นายสุพจน์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2518 ก่อนเกิดเหตุจำเลยเข้าทำกินในที่พิพาทติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 6 ปี นายสุพจน์มีชื่อเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาทเมื่อวันที่ 9พฤศจิกายน 2516 ตาม น.ส.3 ก. เอกสารหมาย จ.1 หลังจากนายสุพจน์ถึงแก่กรรม เด็กชายพินิจกับพวกผู้เยาว์ซึ่งเป็นบุตรนายสุพจน์และนางทองจันทร์ลงชื่อเป็นผู้รับมรดกที่พิพาท นางทองจันทร์ผู้ใช้อำนาจปกครองของเด็กชายพินิจกับพวกเคยไปร้องเรียนต่อกำนันและตำรวจขอให้เรียกนางรั้วและจำเลยไปสอบถามเกี่ยวกับที่พิพาทจำเลยลงลายมือชื่อไว้ในบันทึก ตามเอกสารหมาย จ.2หลังจากทำบันทึกแล้วนางรั้วฟ้องนางทองจันทร์ต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ขอแสดงสิทธิที่พิพาท และจำเลยเข้าทำนาในที่พิพาทตามปกติ นางทองจันทร์จึงแจ้งความต่อตำรวจให้ดำเนินคดีแก่จำเลย ปัญหามีว่า ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของเด็กชายพินิจกับพวกนั้นเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายหรือไม่

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งเป็นเอกสารมหาชน ที่นายอำเภอกมลาไสยได้ทำขึ้น มีชื่อเด็กชายพินิจกับพวกเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาท และจำเลยทำบันทึกเอกสารหมาย จ.2 ต่อหน้าร้อยตำรวจเอกวุฒิพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอกมลาไสย ความว่า จำเลยจะไม่เข้าทำนาในที่พิพาทต่อไปอีก หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามบันทึกยินยอมให้นางทองจันทร์ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งทางแพ่งและทางอาญา ซึ่งตามบันทึกดังกล่าวเท่ากับจำเลยยอมรับว่าที่พิพาทเป็นของเด็กชายพินิจ กับพวก ถึงแม้จำเลยจะเข้าทำกินในที่พิพาทก่อนเกิดเหตุติดต่อกันมาเป็นเวลาอย่างน้อย 6 ปี จำเลยก็หมดสิทธิที่จะยกขึ้นต่อสู้ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าลงชื่อในบันทึกเพราะกลัวตำรวจจะขังจำเลยนั้น โจทก์มีนางทองจันทร์นายบุญมา และร้อยตำรวจเอกวุฒิ มาเบิกความ คู่กรณีตกลงทำบันทึกกันด้วยความสมัครใจ ตำรวจบันทึกตามที่จำเลยตกลงโดยไม่มีการบังคับขู่เข็ญ ข้อต่อสู้ของจำเลยไม่มีน้ำหนักจะรับฟังหักล้างพยานโจทก์ แม้จำเลยจะให้นางรั้วฟ้องนางทองจันทร์ต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ขอแสดงสิทธิที่พิพาทหลังจากทำบันทึกแล้วก็ตามข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของเด็กชายพินิจ กับพวก การที่จำเลยเข้าทำนาในที่พิพาทหลังจากทำบันทึกแล้ว จึงมีความผิดฐานบุกรุกตามฟ้องศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงชอบด้วยกฎหมายแล้ว คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share