แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ได้ความว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นบุตรนอกกฎหมายของโจทก์ที่ 1 เกิดกับผู้ตายเจ้ามรดก แต่ผู้ตายเจ้ามรดกได้รับรองและแสดงออกโดยให้ใช้นามสกุลและการศึกษาถือว่าเจ้ามรดกได้รับรองว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นบุตรของตนแล้ว โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย และมีอำนาจฟ้องคดีได้โดยไม่จำเป็นต้องขอคำสั่งศาลเสียก่อน
ผู้ตายได้รับจำนองที่ดินพิพาทนี้โดยทางทะเบียนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ส่วนจำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททางครอบครองแต่มิได้จดทะเบียนเช่นนี้ จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอก (คือฝ่ายผู้รับจำนอง) ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1299 แม้ถึงหากจะฟังว่าจำเลยที่ 1,2 เอาความเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่าโฉนดหายจนได้รับใบแทนโฉนดมาแล้วเอาไปจำนองก็ดีเมื่อผู้รับจำนองมิได้รู้เห็นในเรื่องนี้ด้วยหากแต่รับจำนองไว้โดยสุจริตเช่นนี้ไม่ทำให้สิทธิของผู้รับจำนองดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปฝ่ายผู้รับจำนองยังมีสิทธิฟ้องบังคับจำนองโดยยึดที่ดินจำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดที่ 4820 ตำบลไทรน้อยกิ่งอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยดอกเบี้ยโดยที่ดินแปลงนี้จำเลยที่ 1,2 นำไปจำนองไว้กับนายน้อม รุ่งสว่าง โดยเงินที่รับจำนองเป็นเงินที่โจทก์ที่ 1 กับนายน้อมเป็นเจ้าของร่วมกัน บัดนี้นายน้อม รุ่งสว่างตายแล้ว โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ผู้เยาว์เป็นบุตรนอกกฎหมายของโจทก์ที่ 1 กับนายน้อม แต่นายน้อมได้รับรองเป็นบุตรและให้การศึกษาด้วยจึงเป็นบุตรนายน้อมตามกฎหมายและเป็นผู้รับมรดกโดยเป็นทายาทโดยชอบธรรมเพราะไม่มีพินัยกรรมและโจทก์จำเป็นต้องฟ้องจำเลยที่ 3 ด้วยเพราะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองที่ดินแปลงนี้ภายหลังที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จำนองไว้ กับโจทก์เพราะหนี้จำนองเป็นหนี้ติดที่ดินซึ่งจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิด
จำเลยที่ 1, 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การว่าที่แปลงนี้นางเชื้อเจ้าของเดิมมารดาจำเลยที่ 1, 2 ได้ขายให้แก่นายพิมพ์ โลกะสุทธิ์ ที่จำเลยที่ 3 แต่ไม่ได้จดทะเบียนเพียงแต่ส่งมอบโฉนดให้นายพิมพ์ ต่อมานางเชื้อขอยืมโฉนดไปจากนายพิมพ์ว่าเจ้าพนักงานจะสำรวจที่ดิน นายพิมพ์หลงเชื่อมอบโฉนดให้นางเชื้อ ๆ จึงถอนชื่อตนออกแล้วใส่ชื่อจำเลยที่ 1, 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์นายพิมพ์ทราบจึงเรียกโฉนดมาเก็บรักษาและฟ้องจำเลยที่ 1, 2 เป็นจำเลยขอให้แสดงกรรมสิทธ์แก่นายพิมพ์โดยทางครอบครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นายพิมพ์ตายในระหว่างฎีกา จำเลยที่ 3 รับมรดกความ
จำเลยที่ 1, 2 รู้แล้วว่าโฉนดรายนี้อยู่กับนายพิมพ์กับนำความเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่าโฉนดหายจนเจ้าพนักงานออกไปแทนโฉนดให้แล้ว จำเลยที่ 1, 2 จึงมาจดทะเบียนจำนองไว้กับนายน้อมเป็นการใช้สิทธิมาด้วยความเท็จอันไม่สุจริต แม้จะจดทะเบียนจำนองผู้รับจำนองก็ไม่ได้รับผล เพราะจำเลยที่ 1, 2 ไม่ใช่เจ้าของที่พิพาทกับตัดฟ้องว่าโจทก์อ้างว่าเป็นภรรยาและบุตรผู้รับจำนอง โจทก์ต้องบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 735 และโจทก์ไม่ใช่ภรรยาและบุตรของนายน้อมอันชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 และให้จำเลยที่ 1, 2 ใช้เงินให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 รวมทั้งต้นและดอกเบี้ยเป็นเงิน 7376.60 บาท และดอกเบี้ยชั่งละ 1 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ และให้ยกฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และที่ขอให้เอาที่ดินออกขายทอดตลาดเสีย
โจทก์แต่ฝ่ายเดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าผู้รับจำนองโดยชอบย่อมได้บุริมสิทธิติดอยู่กับที่ดินที่รับจำนองนั้น และเมื่อผู้รับจำนอง (โจทก์) บอกกล่าวการรับจำนองให้จำเลยที่ 1, 2 ทราบแล้ว จำเลยที่ 1, 2 ไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลสั่งยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดได้ตาม มาตรา 728 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าถ้าจำเลยที่ 1, 2 ไม่ชำระหนี้ให้เอาที่ดินรายพิพาทออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้จำนองแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 เท่านั้นฎีกา
ศาลฎีกาฟังแถลงการณ์และตรวจสำนวนปรึกษาคดีนี้แล้ว จำเลยที่ 3 ฎีกาเป็นใจความรวม 2 ข้อคือ (1) โจทก์จะมีอำนาจฟ้องหรือไม่ (2) จะฟ้องขอบังคับจำนองโดยให้ขายทอดตลาดที่ดินจำนองเอาเงินชำระหนี้ของโจทก์ได้หรือไม่
สำหรับฎีกาข้อ (1) คงมีข้อพิจารณาเฉพาะโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ว่าจะมีอำนาจฟ้องหรือไม่ ข้อนี้จำเลยที่ 3 ก็รับอยู่แล้วว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นบุตรนายน้อมผู้รับจำนองจริงและได้ความว่านายน้อมได้รับรองและแสดงออกว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นบุตรของตน โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 จึงเป็นบุตรมีสิทธิรับมรดกของนายน้อมและมีสิทธิฟ้องคดีนี้ได้ ทั้งนี้โดยไม่จำเป็นต้องขอคำสั่งศาลเสียก่อน
สำหรับฎีกาข้อ (2) ข้อเท็จจริงคงได้ความตามที่ศาลอุทธรณ์กล่าวมา กล่าวคือนายน้อมได้รับจำนองที่ดินพิพาทนี้โดยทางทะเบียนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ส่วนจำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททางครอบครอง แต่มิได้จดทะเบียน สิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนเช่นนี้จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอก (ฝ่ายโจทก์ผู้รับจำนอง) ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตย่อมไม่ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 แม้ถึงหากจะฟังว่า จำเลยที่ 1, 2 เอาความเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่าโฉนดหายจนได้รับใบแทนโฉนดมาแล้วเอาไปจำนองก็ดี เมื่อผู้รับจำนองมิได้รู้เห็นในเรื่องนี้ด้วยหากแต่รับจำนองไว้โดยสุจริตเช่นนี้ ก็ไม่ทำให้สิทธิของผู้รับจำนองดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือฝ่ายผู้รับจำนองยังมีสิทธิฟ้องบังคับจำนองโดยยึดที่ดินจำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน