แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ประเด็นในคดีก่อนมีว่า ผู้ร้องทำละเมิดต่อผู้คัดค้านที่ 1 โดยการทำรั้วในที่ดินของผู้คัดค้านที่ 1 หรือไม่ ส่วนในคดีนี้มีประเด็นว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่จึงเป็นคนละประเด็นกัน ทั้งผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน การยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ร้องในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อน
การที่ผู้ร้องกับผู้คัดค้านพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินภายหลังจากที่ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทครบ 10 ปีแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการครอบครองโดยไม่สงบ
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ส่วนผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 ซึ่งด้านทิศใต้อยู่ติดที่ดินดังกล่าวของผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านร่วม เมื่อประมาณปี 2536 ผู้ร้องสร้างรั้วลวดหนามกั้นอาณาเขตที่ดินที่ผู้ร้องครอบครอง แต่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ยื่นฟ้องผู้ร้องต่อศาลชั้นต้นกล่าวหาว่า ผู้ร้องกั้นรั้วรุกล้ำที่ดินของผู้คัดค้านที่ 1 ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1988/2538 ของศาลชั้นต้น ซึ่งในคดีดังกล่าวได้มีการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาท ผู้ร้องจึงทราบว่าที่ดินที่ผู้ร้องครอบครองมีเนื้อที่บางส่วนทางด้านทิศตะวันออกเกินเนื้อที่ตามโฉนดที่ดินอยู่ 1 งาน 53 ตารางวา ซึ่งผู้คัดค้านที่ 1 กล่าวอ้างว่าเป็นที่ดินของตน ผู้ร้องครอบครองที่ดินส่วนนี้ต่อมาจากบิดามารดาโดยความสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 30 ปีเศษแล้ว ที่ดินเนื้อที่ 1 งาน 53 ตารางวา ดังกล่าว จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ขอให้มีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เฉพาะส่วนเนื้อที่ 1 งาน 53 ตารางวา ด้านทิศเหนือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ และให้ใส่ชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวต่อไป
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มิได้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 เพราะได้โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรแล้ว ผู้ร้องมิได้ครอบครองที่ดินพิพาท ไม่มีเจตนาครอบครองปรปักษ์ อีกทั้งผู้ร้องเพิ่งได้รับโอนที่ดินจากเจ้ามรดกมาเมื่อปี 2533 ผู้ร้องย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกคำร้องขอ
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 โดยรับโอนจากผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นมารดา ที่ดินดังกล่าวอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 ของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบ โดยเปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของ ผู้ร้องเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้เพราะเป็นญาติกับผู้คัดค้านที่ 2 อีกทั้งเมื่อมีการรังวัดสอบเขตผู้คัดค้านที่ 2 (ที่ถูกเป็นผู้คัดค้านที่ 1) ก็ได้ฟ้องขับไล่ผู้ร้อง นอกจากนั้นผู้ร้องให้การต่อสู้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1988/2538 ของศาลชั้นต้นว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องมิใช่ของผู้คัดค้านที่ 2 ผู้ร้องเพิ่งแสดงเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อมีการรังวัดสอบเขตในปี 2537 ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกนางวัชรีผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 เข้ามาเป็นผู้คัดค้านร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ผู้คัดค้านร่วมยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ผู้ร้องและผู้คัดค้านร่วมเป็นญาติกัน ต่างเคยอาศัยซึ่งกันและกัน ผู้ร้องใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทมิได้มีเจตนาครอบครองเพื่อเป็นเจ้าของ ทั้งการครอบครองก็เริ่มต้นเมื่อมีการสอบเขตที่ดินพิพาทในปี 2538 การครอบครองจึงยังไม่ครบ 10 ปี ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1988/2538 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ผู้ร้องรื้อถอนทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท ผู้ร้องได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว ผู้ร้องจึงมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบ ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยสำคัญผิดว่าเป็นที่ดินของตน หาได้มีเจตนาครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อเป็นทรัพย์ของตนไม่ ผู้ร้องย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ยกคำร้องขอ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 เลขที่ดิน 525 ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เฉพาะเนื้อที่ 1 งาน 53 ตารางวา ด้านทิศเหนือตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ร.10 เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นซึ่งคู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี โดยรับโอนมรดกมาจากนางรอดซึ่งเป็นมารดา ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร.11 ผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรีโดยผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับยกให้จากผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาและผู้คัดค้านร่วมได้รับยกให้จากนายสนั่นซึ่งเป็นบิดา ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร.1 ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวอยู่ติดกันโดยที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 อยู่ทางทิศตะวันตกของที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ร.10 ที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ทางด้านทิศเหนือซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนนี้โดยเจตนาเป็นเจ้าของ ก่อนผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นคดีนี้ ผู้คัดค้านที่ 1 เคยเป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องเป็นคดีละเมิดตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1988/2538 ของศาลชั้นต้น ขอให้ผู้ร้องรื้อถอนรั้วลวดหนามพร้อมเสาคอนกรีตที่ผู้ร้องสร้างขึ้นในที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ผู้ร้องรื้อถอนรั้วลวดหนามพร้อมเสาคอนกรีตออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7554/2540 เอกสารหมาย ร.5
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำหรือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1988/2538 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ปัญหานี้แม้ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในคำคัดค้าน แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมจึงยกขึ้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง เห็นว่า ประเด็นในคดีก่อนมีว่า ผู้ร้องทำละเมิดต่อผู้คัดค้านที่ 1 โดยการทำรั้วในที่ดินของผู้คัดค้านที่ 1 หรือไม่ ส่วนในคดีนี้มีประเด็นว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่กรณีจึงเป็นคนละประเด็นกัน อีกทั้งผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน การยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ร้องในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1988/2538 ของศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5756/2533 (ประชุมใหญ่) ที่ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมอ้างนั้น ข้อเท็จจริงต่างกับคดีนี้ ฎีกาข้อนี้ของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบหรือไม่ ที่ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมฎีกาว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทยังไม่ครบ 10 ปี และมิได้ครอบครองโดยสงบนั้นตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 มิถุนายน 2539 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 แถลงรับว่าผู้ร้องได้ครอบครองต่อมาจากบิดามารดาผู้ร้องรวมเวลาได้กว่า 30 ปี แม้ตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวจะระบุเนื้อที่ของที่ดินพิพาทเพียง 30 ตารางวา แต่ต่อมาศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้ผู้ร้องแก้ไขคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจาก 30 ตารางวา เป็น 1 งาน 53 ตารางวา ตามคำร้องของผู้ร้อง ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2541 ทั้งนี้ ตามคำสั่งศาลชั้นต้นในรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 11 สิงหาคม 2542 (ที่ถูกเป็น 2541) ดังนี้ คำแถลงรับข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงผูกพันผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 จะยกขึ้นฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของผู้คัดค้านร่วมซึ่งมิได้แถลงรับข้อเท็จจริงดังกล่าว ในปัญหานี้ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องเริ่มครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2506 ซึ่งเป็นปีที่นางรอดมารดาผู้ร้องถึงแก่กรรมตามสำเนาทะเบียนคนตายเอกสารหมาย ร.13 จนกระทั่งถึงปี 2533 ผู้ร้องจึงขอรังวัดสอบเขต นับถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลาเกินกว่า 10 ปี แล้ว โดยไม่มีบุคคลใดมาโต้แย้งการครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้องแต่อย่างใดโดยผู้ร้องมีนายก้าน อดีตกำนันตำบลบางขุนกอง มาเบิกความว่า พยานเห็นผู้ร้องปลูกต้นไม้ในที่ดินพิพาทและเก็บดอกผลตลอดมา พยานเข้าใจว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง และผู้ร้องมีนางสอน ญาติผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมาเบิกความว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนายโต๊ะและนางรอด ภายหลังจากบุคคลทั้งสองถึงแก่กรรม ผู้ร้องในฐานะทายาทของบุคคลทั้งสองได้เข้าทำประโยชน์โดยเก็บเกี่ยวผลไม้ในที่ดินพิพาทมานานประมาณ 30 ปี พยานเข้าใจว่าผู้ร้องครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของ ไม่เคยเห็นฝ่ายผู้คัดค้านเข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ผู้คัดค้านร่วมนำสืบว่า ก่อนปี 2533 ผู้ร้องไม่เคยขอรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 เมื่อผู้ร้องได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 มาในปี 2533 จึงได้มีการรังวัดสอบเขตที่ดิน ผู้ร้องชี้แนวเขตไปจนจดที่ดินของนายสมจิตร์อันเป็นการชี้แนวเขตทับที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ของผู้คัดค้านร่วมนายสนั่นจึงคัดค้านการชี้แนวเขตของผู้ร้อง เห็นว่า ผู้คัดค้านร่วมมิได้นำสืบหักล้างว่าผู้ร้องไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2506 แต่นายโชติพยานผู้คัดค้านร่วมเบิกความเจือสมทางนำสืบของผู้ร้องว่า พยานเห็นนายโต๊ะและนางรอดบิดามารดาผู้ร้องทำกินในที่ดินพิพาทจนกระทั่งถึงแก่กรรม หลังจากนั้นเห็นผู้ร้องทำกินในที่ดินพิพาท ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2506 จึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันเกิน 10 ปีแล้ว ที่ผู้คัดค้านร่วมนำสืบว่า ฝ่ายผู้ร้องกับฝ่ายผู้คัดค้านมีการพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินภายหลังจากการรังวัดสอบเขตของผู้ร้องในปี 2533 นั้น ก็เป็นเวลาภายหลังจากที่ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยมีเจตนาเป็นเจ้าของครบ 10 ปีแล้ว จึงรับฟังได้ว่าผู้ร้องครอบครองโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน อันเป็นการครอบครองโดยสงบดังที่ผู้ร้องนำสืบ ฎีกาของผู้คัดค้านร่วมในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ