คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2039/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ธ. ลงชื่อมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโจทก์ขัดต่อข้อบังคับของโจทก์เรื่องจำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันโจทก์ได้ เป็นกรณีโจทก์ในฐานะนิติบุคคลฟ้องคดีโดยผู้ไม่มีอำนาจกระทำแทนได้ ความประสงค์ของโจทก์จึงไม่แสดงปรากฏจากผู้แทนของนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 70 วรรคสอง
เมื่อ ธ. ไม่มีอำนาจลงชื่อมอบอำนาจให้ พ. ฟ้องคดีแทนโจทก์ พ. จึงไม่มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์มาแต่แรกฟ้อง ถึงแม้ต่อมาภายหลังโจทก์จะทำหนังสือมอบอำนาจให้ ส. ฟ้องคดีนี้ยื่นเข้ามาก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์ที่เสียมาแต่ต้นแล้วกลับคืนดีเป็นฟ้องที่ยื่นฟ้องและดำเนินคดีโดยผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ขึ้นมาในภายหลังได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายพจน์เพ็ชรสันทัด ฟ้องคดี และมอบอำนาจให้นายสุรชัย จันทร์เจริญ ดำเนินคดีต่อเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2532 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีวงเงิน 250,000 บาท จากโจทก์สาขาหนองบัวลำภู ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุกสิ้นเดือน หากค้างชำระให้นำดอกเบี้ยที่ค้างทบเข้าเป็นต้นเงินและจำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด จำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5151 พร้อมสิ่งปลูกสร้างจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันและจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4299 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ดังกล่าว จำเลยทั้งสองตกลงว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยทั้งสองยอมชำระหนี้จนครบ จำเลยที่ 1 ได้เดินสะพัดทางบัญชีเรื่อยมาโจทก์บอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวบังคับจำนองเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม2536 โจทก์คิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ 11พฤษภาคม 2536 คิดถึงวันฟ้องจำเลยค้างชำระดอกเบี้ยเป็นเงิน 205,583.30 บาท รวมกับต้นเงินเป็นเงิน 455,583.30 บาท จำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระหนี้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 455,583.30 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 437,254.55 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีเนื่องจากการมอบอำนาจไม่สมบูรณ์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน312,590.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของเงินต้น275,808.56 บาท นับแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ หากไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองชำระหนี้จนครบ คำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่านายพจน์ เพ็ชรสันทัด ผู้รับมอบอำนาจโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยมอบอำนาจให้นายพจน์เป็นผู้ดำเนินคดีแทนแต่โจทก์คงมีแต่นายสุรชัย จันทร์เจริญ ลูกจ้างโจทก์เป็นพยานเบิกความว่าเดิมโจทก์มอบอำนาจให้นายพจน์ดำเนินคดีนี้แทน ภายหลังนายพจน์ย้ายไปอยู่ที่สาขาอื่น พยานย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้จัดการโจทก์สาขาหนองบัวลำภูจึงได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีนี้แทน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายเธียรชัยศรีวิจิตร มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ที่จะลงชื่อมอบอำนาจให้นายพจน์ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ได้ การที่นายเธียรชัยลงชื่อมอบอำนาจให้นายพจน์ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์จึงขัดต่อข้อบังคับของโจทก์เรื่องจำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันโจทก์ได้ตามสำเนาหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ข้อ 3 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 และสำเนาหนังสือรับรองของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ข้อ 2เอกสารหมาย จ.2 เป็นกรณีโจทก์ในฐานะนิติบุคคลฟ้องคดีโดยผู้ไม่มีอำนาจกระทำแทนได้ ความประสงค์ของโจทก์ไม่แสดงปรากฏจากผู้แทนของนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 70 วรรคสอง

ส่วนกรณีที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอแก้ไขจากเดิมนายพจน์ผู้รับมอบอำนาจเป็นนายสุรชัยผู้รับมอบอำนาจโดยที่จำเลยทั้งสองไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องได้นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายเธียรชัยไม่มีอำนาจลงชื่อมอบอำนาจให้นายพจน์ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ นายพจน์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์มาแต่แรกฟ้อง ถึงแม้ต่อมาภายหลังโจทก์จะทำหนังสือมอบอำนาจให้นายสุรชัยฟ้องคดีนี้ยื่นเข้ามาก็ตามก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์ที่เสียมาแต่ต้นแล้วนั้นกลับคืนดีเป็นฟ้องที่ยื่นฟ้องและดำเนินคดีโดยผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ขึ้นมาในภายหลังได้ไม่”

พิพากษายืน

Share