แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญารับโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จากผู้เช่าเดิมโดยผู้ให้เช่ามิได้ตกลงยินยอมด้วยเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 544จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้เป็นผู้เช่าตึกพิพาทแม้ศาลจะพิพากษาให้ผู้เช่าเดิมโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันเฉพาะคู่ความในคดี หาผูกพันสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ผู้ให้เช่าไม่
กรณีผู้เช่าหลายคนเรียกร้องเอาอสังหาริมทรัพย์อันเดียวกันโดยอาศัยมูลสัญญาเช่าต่างรายกัน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 543 ได้บัญญัติวางหลักเกณฑ์ให้ศาลวินิจฉัยไว้ ซึ่งแสดงว่าถ้าต่างคนต่างแย่งการเช่าอสังหาริมทรัพย์โดยอาศัยมูลสัญญาเช่าต่างรายกันแล้ว คู่กรณีย่อมจะมาฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าตนมีสิทธิการเช่าดีกว่าคนอื่นได้ แต่โจทก์รับโอนสิทธิการเช่าโดยไม่ถูกต้องและยังมิได้เป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากผู้ให้เช่า ย่อมไม่มีทางที่จะฟ้องขอให้แสดงว่า โจทก์มีสิทธิการเช่าได้ ดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 543 บัญญัติไว้
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิได้รับโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทจากผู้เช่าเดิมดีกว่าจำเลย โจทก์มีสิทธิจะทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับผู้ให้เช่าได้ก่อนจำเลยและขอให้บังคับจำเลยถอนคำร้องโต้แย้งคัดค้าน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ให้เช่าได้อนุมัติให้โอนสิทธิการเช่าแก่จำเลยและสิทธิการเช่าตึกพิพาทได้โอนไปยังจำเลยโดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้วโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานในวันพุธที่ 12 และนัดฟังคำพิพากษาวันศุกร์ที่ 14 เดือนเดียวกัน ถือว่ามีเวลาพอที่คู่ความจะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ เมื่อมิได้โต้แย้งไว้จะอุทธรณ์ฎีกาขอให้มีการพิจารณาสืบพยานต่อไปหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นางประยงค์ได้ทำสัญญาจะโอนสิทธิการเช่าตึกของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้โจทก์ แล้วกลับสมยอมจะโอนให้จำเลยโจทก์ฟ้องนางประยงค์และศาลพิพากษาให้นางประยงค์โอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทให้โจทก์ แต่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แจ้งให้โจทก์ฟ้องศาลเพื่อแสดงว่าโจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลย จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิได้รับโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทจากนางประยงค์ดีกว่าจำเลยโจทก์มีสิทธิทำสัญญาเช่ากับสำนักงานทรัพย์สินก่อนจำเลย และบังคับจำเลยให้ถอนคำร้องโต้แย้งคัดค้าน
จำเลยต่อสู้ว่า ได้รับโอนสิทธิการเช่าจากนางประยงค์โดยเสียค่าตอบแทนและสำนักงานทรัพย์สินฯ ได้อนุมัติให้จำเลยเป็นผู้เช่าแทนนางประยงค์แล้ว
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อที่โจทก์ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานในวันพุธที่ ๑๒มีนาคม ๒๕๑๒ และนัดฟังคำพิพากษาวันศุกร์ที่ ๑๔ เดือนเดียวกัน โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านประการใด ทั้ง ๆ ที่มีเวลาพอที่จะโต้แย้ง โจทก์จึงไม่อาจฎีกาขอให้สืบพยานต่อไปได้
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิในการเช่าดีกว่าจำเลยนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถ้าผู้เช่าหลายคนเรียกร้องเอาอสังหาริมทรัพย์อันเดียวกันอาศัยมูลสัญญาเช่าต่างรายกันแล้วประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๔๓ ได้บัญญัติวางหลักเกณฑ์ให้ศาลวินิจฉัยไว้แล้ว แสดงว่าต่างคนต่างแยกการเช่าอสังหาริมทรัพย์โดยอาศัยมูลสัญญาเช่าต่างรายกันแล้วคู่กรณีย่อมจะมาฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าตนมีสิทธิการเช่าดีกว่าคนอื่นได้สำหรับคดีนี้ ถ้าโจทก์ได้เช่าตึกรายพิพาทมาจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และจำเลยก็ได้เช่ามาจากผู้ให้เช่ารายเดียวกันแล้วโจทก์ก็ย่อมจะฟ้องจำเลยขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์มีสิทธิในการเช่าตึกพิพาทดีกว่าจำเลยได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และศาลย่อมใช้หลักเกณฑ์ในมาตรา ๕๔๓ ดังกล่าววินิจฉัยให้ คดีนี้ ถ้าโจทก์ได้รับโอนสิทธิการเช่ามาโดยถูกต้องแล้ว โจทก์ก็ย่อมเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากสำนักงานทรัพย์สินฯและย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยที่อ้างว่าได้รับโอนสิทธิการเช่ารายเดียวกันนี้เพื่อให้ศาลแสดงว่า โจทก์มีสิทธิการเช่าดีกว่าจำเลย แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มิได้รับโอนสิทธิการเช่าโดยถูกต้อง ทั้งนี้เพราะในคำฟ้องของโจทก์ไม่มีปรากฏที่ใดเลยว่าสำนักงานทรัพย์สินฯ ผู้ให้เช่าได้อนุญาตให้นางประยงค์ ระงับภัย ผู้เช่าตึกพิพาทโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์การที่นางประยงค์ ระงับภัยผู้เช่าโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ โดยผู้ให้เช่ามิได้ตกลงยินยอมเช่นนี้ เป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๕๔๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อการโอนสิทธิการเช่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้เป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากสำนักงานทรัพย์สินฯ ผู้ให้เช่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว โจทก์ย่อมไม่มีทางที่จะฟ้องขอให้แสดงว่า โจทก์มีสิทธิการเช่าได้ดังมาตรา ๕๔๓ บัญญัติไว้ดังกล่าวข้างต้น และแม้ว่าศาลจะได้พิพากษาให้นางประยงค์ ระงับภัยโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ก็ตาม แต่คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้นหาได้ผูกพันสำนักงานทรัพย์สินฯ ผู้ให้เช่าแต่อย่างใดไม่ ยิ่งกว่านั้นในคำพิพากษาฉบับนั้นก็ได้กล่าวไว้แล้วว่า หากเป็นการพ้นวิสัยไม่สามารถจะโอนสิทธิการเช่าตึกแถวให้โจทก์ได้ก็ให้จำเลยคืนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์(ในคดีนั้น) อนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่าตามเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์เองที่อ้างหนังสือของสำนักงานทรัพย์สินฯ ที่ ทก.๐๐๙/๒๔๙๕ ลงวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๑๑ ในหนังสือฉบับนี้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า”และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็มีคำสั่งอนุมัติให้โอนสิทธิการเช่าตึกดังกล่าวให้นางอบอวล ธนะศรี แล้วฉะนั้นสิทธิการเช่าตึกแถวดังกล่าวจึงโอนไปยังนางอบอวล ธนะศรี โดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว” ข้อความดังกล่าวจึงเป็นการยืนยันว่านางอบอวลธนะศรี จำเลยได้รับโอนการเช่าตึกพิพาทไปโดยถูกต้องแล้ว โจทก์หามีสิทธิที่จะฟ้องคดีนี้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พิพากษายืน