แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การเป็นหุ้นส่วนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1012 นั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น สัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจึงต้องเป็นการตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้นโดยชัดแจ้ง โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นบุตรของ ส. โดย ส. ประกอบอาชีพค้าขายมาก่อนโจทก์ทั้งเจ็ดกำเนิด ส. ให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่โจทก์ทั้งเจ็ดในฐานะบิดากระทำต่อบุตร เมื่อโจทก์ทั้งเจ็ดเติบโตได้ช่วย ส. ค้าขายจนกระทั่งโจทก์ทั้งเจ็ดแต่งงานมีครอบครัวแล้วแยกครอบครัวไป ไม่ปรากฏโดยชัดแจ้งว่า ส. ตกลงร่วมค้าขายกับโจทก์ทั้งเจ็ดโดยให้โจทก์ทั้งเจ็ดลงแรงเป็นหุ้นและประสงค์แบ่งเงินกำไรกัน หรือหากต้องขาดทุนโจทก์ทั้งเจ็ดต้องรับผิดชอบอย่างไร การที่โจทก์ทั้งเจ็ดช่วยด้วยแรงงานจึงไม่เป็นการลงหุ้นด้วยแรง คงเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างบิดาและบุตร การที่บุตรไม่แยกไปประกอบกิจการของตนเองแต่สมัครใจอยู่ช่วยเหลือและอาศัยกับบิดาต่อไป หาทำให้กิจการของบิดาเป็นกิจการของครอบครัวอันจะถือว่าเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนระหว่างบุตรและบิดาโดยปริยายไม่ โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่เป็นหุ้นส่วนกับ ส. ตามบทกฎหมายดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องและแก้ไขคำฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ขอให้มีคำสั่งเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญสกุลบดินทร์หรือบดินทร์ แต่งตั้งโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ชำระบัญชี ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทุกแปลงตามแบบ 40 ก แนบท้ายคำขอท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชี หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน หากไม่อาจปฏิบัติได้ให้จำเลยใช้ราคาเป็นเงินตามที่ระบุท้ายที่ดินแต่ละแปลงเพื่อนำมาแบ่งปันหลังหักบัญชีให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดคนละ 1 ใน 9 ส่วน ให้จำเลยโอนหุ้นบริษัทในเครือปูนซีเมนต์ไทย จำกัด แก่โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชี นำมาแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดคนละ 1 ใน 9 ส่วน หากไม่อาจโอนได้ให้จำเลยชำระเงิน 15,000,000 บาท ให้จำเลยใช้เงิน 30,000,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชี นำมาแบ่งปันหลังหักบัญชีแก่โจทก์ทั้งเจ็ดคนละ 1 ใน 9 ส่วน และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 84,050,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะโอนหุ้นและที่ดินหรือชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 เสร็จสิ้น
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งเจ็ดว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นหุ้นส่วนกับนายสง่าหรือไม่ โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาว่า กิจการค้าเป็นกิจการที่ต้องใช้แรงงานโดยโจทก์ทั้งเจ็ดลงแรงเป็นหุ้นความสัมพันธ์มีลักษณะเป็นหุ้นส่วนในกิจการของครอบครัวอันเป็นข้อตกลงโดยปริยายในการเข้าเป็นหุ้นส่วนกัน ไม่ใช่กรณีของความสัมพันธ์ที่บุตรควรจะพึงกระทำเพื่อช่วยเหลือบิดามารดาประกอบอาชีพหารายได้มาเลี้ยงดูครอบครัว เห็นว่า การเป็นหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 นั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น สัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจึงต้องเป็นการตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้นโดยชัดแจ้ง ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันปรากฏว่าโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นบุตรของนายสง่า นายสง่าประกอบอาชีพค้าขายตามฟ้องมาก่อนโจทก์ทั้งเจ็ดกำเนิด นายสง่าให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้การ ศึกษาแก่โจทก์ทั้งเจ็ดในฐานะบิดากระทำต่อบุตร เมื่อโจทก์ทั้งเจ็ดเติบโตได้ช่วยนายสง่าค้าขายจนกระทั่ง โจทก์ทั้งเจ็ดแต่งงานมีครอบครัวแล้วแยกครอบครัวไป ไม่ปรากฏโดยชัดแจ้งว่านายสง่าตกลงร่วมค้าขายกับโจทก์ทั้งเจ็ดโดยให้โจทก์ทั้งเจ็ดลงแรงเป็นหุ้น และประสงค์แบ่งเงินกำไรกัน หรือหากต้องขาดทุนโจทก์ทั้งเจ็ดต้องรับผิดชอบอย่างไร การที่โจทก์ทั้งเจ็ดช่วยด้วยแรงงานจึงไม่เป็นการลงหุ้นด้วยแรง คงเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างบิดาและบุตร การที่บุตรไม่แยกไปประกอบกิจการของตนเองแต่สมัครใจอยู่ช่วยเหลือและอาศัยกับบิดาต่อไป หาทำให้กิจการของบิดาเป็นกิจการของครอบครัวอันจะถือว่าเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนระหว่างบุตรและบิดาโดยปริยายไม่ โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่เป็นหุ้นส่วนกับนายสง่าตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยมา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งเจ็ดฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ