คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 777/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายที่จำเลยทำไว้กับโจทก์มิได้มีข้อความระบุถึงเรื่องให้จำเลยต้องนำไม้ที่จะขายให้โจทก์จากในป่าซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ที่กองทัพภาคที่ 1 ประกาศปิดป่า และในประกาศของกองทัพดังกล่าวก็ระบุไว้แต่เพียงห้ามบุคคลเข้าไปหรืออยู่อาศัยในเขตพื้นที่บางจังหวัดเท่านั้น ทั้งยังประกาศใช้บังคับมาก่อนจำเลยได้เสนอและทำสัญญาขายไม้แป้นรองมิเตอร์ ให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์เลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์ได้จัดให้มีการประมูลใหม่ ผู้ที่ประมูลได้ก็จัดหาไม้แป้นรองมิเตอร์ ตามประเภท ชนิด และขนาดเช่นเดียวกับที่จำเลยทำสัญญาขายให้แก่โจทก์ได้ การที่จำเลยไม่สามารถหาไม้แป้นรองมิเตอร์ มาขายให้โจทก์ได้ตามสัญญา จึงมิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัย ถือว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ประกอบกิจการในการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่บุคคลทั่วไปการที่โจทก์ต้องเสียเวลาล่าช้าในการนำไม้แป้นรองมิเตอร์ ที่จำเลยไม่ได้ส่งมอบให้โจทก์ภายในกำหนดเวลาตามสัญญาไปใช้ย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่จะได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า ถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการไม่จำกัดความรับผิดได้ทำสัญญาขายไม้แป้นรองมิเตอร์ให้โจทก์จำนวน 22 รายการ เป็นเงิน 2,812,079.25 บาท กำหนดส่งของภายใน120 วัน มีเงื่อนไขแห่งสัญญาข้อ 8 ว่าหากจำเลยผิดสัญญาไม่สามารถส่งไม้แป้นรองมิเตอร์ให้โจทก์ตามสัญญาได้ จำเลยยอมให้โจทก์เลิกสัญญาและริบเงินประกันสัญญา จำนวน 281,208 บาท ได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนหรือยอมให้โจทก์สั่งซื้อบริภัณฑ์ ชนิดเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกันจากที่แห่งอื่นหากราคาที่ซื้อแพงกว่าราคาตามสัญญาเท่าใด จำเลยที่ 1ยอมรับผิดชดใช้เงินส่วนที่แพงไปกว่าทั้งสิ้น ทั้งนี้สุดแล้วแต่โจทก์จะเลือกปฏิบัติ จำเลยมิได้จัดส่งไม้แป้นรองมิเตอร์ให้โจทก์ตามสัญญาโดยมีหนังสือขอยกเลิกสัญญาและยกเว้นค่าปรับแจ้งว่าไม่สามารถหาไม้แป้นรองมิเตอร์ส่งมอบให้โจทก์ตามสัญญาได้ ถือเป็นการผิดสัญญาโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาซื้อขายพร้อมสงวนสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายและเรียกค่าเสียหายกับจำเลยโดยขอริบเงินประกันสัญญาจำนวน 281,208 บาท จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระ โจทก์จึงขอเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 12,302.85 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน293,510.85 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 281,208 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาเพราะการปฏิบัติตามสัญญาเป็นพ้นวิสัย และเกิดจากเหตุสุดวิสัย เพราะจำเลยไม่ทราบมาก่อนว่าทางราชการมีคำสั่งให้ปิดป่า จำเลยจึงไม่สามารถหาไม้มาส่งให้ได้เป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงไม่ต้องชดใช้เงินตามฟ้อง โจทก์ไม่เสียหายเพราะหลังจากโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ได้เปิดประมูลใหม่และซื้อไม้แป้นรองมิเตอร์ซึ่งเป็นชนิด ขนาด และจำนวนเดียวกับที่สั่งซื้อจากจำเลยและเป็นของอย่างเดียวกันจากผู้อื่นในราคาต่ำกว่าที่ซื้อจากจำเลยประมาณ 87,000 บาทเศษ โดยโจทก์ได้รับแป้นไม้ครบถ้วน และได้ชำระเงินแก่ผู้ขายครบถ้วนแล้ว ความเสียหายจึงไม่มี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 200,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 10 กันยายน 2528 ไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองไม่ผิดสัญญาโดยอ้างเหตุว่า ทางราชการประกาศปิดป่าในเขตพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 จึงไม่สามารถหาซื้อไม้ในเขตพื้นที่ดังกล่าวส่งมอบให้โจทก์ได้นั้น เห็นว่า ตามสัญญาที่จำเลยทั้งสองทำไว้กับโจทก์ในเอกสารหมาย จ.3 มิได้มีข้อความระบุถึงเรื่องให้จำเลยทั้งสองต้องนำไม้ที่จะขายให้โจทก์จากในป่าซึ่งอยู่ ในเขตพื้นที่ที่กองทัพภาคที่ 1 ประกาศปิดป่าและในประกาศของกองทัพภาคที่ 1 ตามเอกสารหมายจ.4 แผ่นที่ 2 ก็ระบุไว้เพียงแต่ห้ามบุคคลเข้าไปหรืออยู่ อาศัยในเขตพื้นที่บางจังหวัดเท่านั้น ทั้งปรากฏชัดว่าประกาศดังกล่าวนั้นได้ประกาศใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2525 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จำเลยทั้งสองได้เสนอและทำสัญญาขายไม้แป้นรองมิเตอร์ให้แก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3 ฉะนั้นที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าไม่รู้ ว่าทางราชการประกาศปิดป่าหารับฟังได้ไม่ ยิ่งไปกว่านี้จำเลยทั้งสองได้นำสืบรับและอ้างมาในฎีกาของจำเลยทั้งสองแล้วว่า หลังจากโจทก์ได้เลิกสัญญากับจำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์ได้จัดให้มีการประมูลซื้อไม้แป้นรองมิเตอร์ใหม่มีห้างหุ้นส่วนจำกัดวินัยค้าไม้ห้างหุ้นส่วนจำกัดท้อปแอนด์บ๊อบและห้างหุ้นส่วนจำกัดอภิมหาโชครวมทั้ง 3 รายการ เป็นผู้ประมูลและจัดหาไม้แป้นรองมิเตอร์ตามประเภทชนิด และขนาด เช่นเดียวกับที่จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาขายให้โจทก์ไว้ดังปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1, ล.2 และ ล.3 ดังนั้น เมื่อได้ความเช่นนี้จึงเป็นที่ชี้ให้เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองไม่สามารถหาไม้แป้นรองมิเตอร์มาขายให้โจทก์ได้ตามสัญญาที่ทำไว้ มิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัยดังที่จำเลยทั้งสองอ้าง เมื่อจำเลยทั้งสองส่งมอบไม้แป้นรองมิเตอร์ไม่ได้ตามสัญญาถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยต่อไปมีว่า โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่เพียงใด โจทก์มีนายเจริญ มากันต์ เบิกความยืนยันว่าเนื่องจากจำเลยทั้งสองผิดสัญญาไม่ส่งมอบไม้แป้นรองมิเตอร์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องสั่งซื้อไม้แป้นรองมิเตอร์จากที่อื่นและได้ความจากการนำสืบรับของจำเลยทั้งสองแล้วว่า โจทก์ต้องทำการประมูลซื้อไม้แป้นรองมิเตอร์จากบุคคลดังวินิจฉัยข้างต้นถึง3 รายด้วยกัน และปรากฏว่าโจทก์ต้องเสียเวลาในการจัดหาซื้อไม้ใหม่ในเมื่อโจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจประกอบกิจการในการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่บุคคลทั่วไปย่อมเห็นได้ว่า โจทก์มีความจำเป็นต้องนำไม้แป้นรองมิเตอร์ไปติดตั้งให้แก่ผู้ที่ขอใช้ไฟฟ้า จึงพอเห็นได้ว่าเมื่อโจทก์ต้องเสียเวลาล่าช้าในการนำไม้แป้นรองมิเตอร์ที่จำเลยทั้งสองไม่ได้ส่งมอบให้โจทก์ภายในกำหนดเวลาตามสัญญาไปใช้ย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่จะได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า ถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย แต่อย่างไรก็ตาม ได้ความจากทางนำสืบของจำเลยว่าโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อไม้จากบุคคลทั้ง 3 ราย ดังวินิจฉัยข้างต้นได้ในราคาถูกกว่าที่ทำสัญญาซื้อจากจำเลยทั้งสองเป็นจำนวนเงิน 70,000 บาทเศษ ตามเอกสารหมาย ล.4 จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายน้อยกว่าที่จะริบเงินประกันตามสัญญาที่ทำกับจำเลยทั้งสองไว้ตามเอกสารหมาย จ.3 เห็นสมควรลดค่าเสียหายลงตามความเป็นจริงซึ่งศาลล่างทั้งสองพิจารณาให้โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 200,000 บาท นั้นเป็นการสมควรและเหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน.

Share