คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2010/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยซึ่งเอาของโจทก์ไปโดยละเมิดนั้นไม่อยู่ในบังคับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
การเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากจำเลยเพราะเหตุที่ได้ยึดเอกสารสิทธิและเช็คไปจากโจทก์ (แล้วไม่ยอมคืนจนคดีขาดอายุความ และหมดสิทธิที่จะขอรับเงินจากธนาคาร) นั้นโจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดก็ต่อเมื่อความเสียหายเกิดขึ้นจริง จึงต้องนับอายุความแต่วันที่เกิดความเสียหายแก่โจทก์ มิใช่นับแต่วันรู้ถึงการกระทำผิดกฎหมาย และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 ได้สั่งให้จำเลยที่ 1 จับกุมโจทก์เพื่อดำเนินคดี โดยโจทก์มิได้กระทำผิดจำเลยที่ 1 โดยเจตนาทุจริต ใช้อำนาจโดยมิชอบ แกล้งจับกุมและหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ให้เสื่อมเสรีภาพ ได้ขู่เข็ญข่มขืนบังคับเอาเงินจากโจทก์ ได้ยึดพระเครื่อง เช็ค และเอกสารสิทธิต่าง ๆแล้วไม่คืนจนเช็คขาดอายุความ และเกินกำหนดรับเงิน กับไขข่าวอันไม่เป็นความจริงต่อหนังสือพิมพ์ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินและพระเครื่อง กับค่าเสียหาย

จำเลยต่อสู้ปฏิเสธความรับผิดและตัดฟ้องว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุมและฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 แกล้งจับกุมโจทก์หรือแกล้งกระทำต่อโจทก์เรื่องอื่น ๆ ตามที่โจทก์อ้าง จำเลยที่ 1 ไม่ได้เอาพระเครื่องของโจทก์ไปและไม่ได้เป็นผู้ให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์ คงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ได้ยึดเช็คที่ลูกหนี้ออกให้โจทก์ไว้ โจทก์ได้รับความเสียหายสำหรับเช็คเพียงบางฉบับ โดยหมดสิทธินำเช็คไปรับเงินจากธนาคารและหมดสิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คในทางแพ่ง แต่อำนาจในการสั่งคืนเช็คเป็นของผู้บังคับการกองปราบปราม จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดส่วนจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 76 คดีไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายสำหรับเช็คบางฉบับดังกล่าว ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1

โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรกพิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์มีคำขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยที่ 1 เรียกร้องเอาจากโจทก์และโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ไป รวมอยู่ในคำขอค่าทนทุกข์ทรมาน กับมีคำขอให้จำเลยคืนพระเครื่องหรือใช้ราคา ซึ่งเป็นทรัพย์ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 เอาไปจากโจทก์เพื่อประโยชน์ส่วนตัว การฟ้องเรียกคืนทรัพย์เช่นนี้ไม่อยู่ในบังคับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ส่วนการเรียกร้องค่าเสียหายเพราะเหตุที่จำเลยยึดเอกสารสิทธิและเช็คนั้นโจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดก็ต่อเมื่อความเสียหายเกิดขึ้นจริง จึงต้องนับอายุความแต่วันที่เกิดความเสียหายแก่โจทก์มิใช่นับแต่วันรู้ถึงการกระทำผิดกฎหมาย และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์อ้างมาในฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องยังไม่พอชี้ขาดว่าโจทก์เสียหายในเรื่องยึดเอกสารสิทธิและเรื่องยึดเช็คตั้งแต่วันใด

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาในประเด็นที่ได้โต้เถียงกัน แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share