คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ความในมาตรา 158 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483ที่ว่า เมื่อผู้มีส่วนได้เสียคัดค้านการยึดทรัพย์ ก็ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนนั้น มิใช่หมายความถึงกับต้องสอบสวนพยานผู้ร้องซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วยเสมอไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีดุลพินิจที่จะพิจารณาว่าพยานหลักฐานที่ได้สอบสวนแล้วพอที่จะมีคำสั่งได้แล้วหรือไม่ โดยพิจารณาพยานหลักฐานและพฤติการณ์ที่เพียงพอจะทราบความจริงได้ว่าทรัพย์ที่ยึดมานั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิยึดหรือไม่ ก็ถือได้แล้วว่าเป็นการสอบสวนตามความหมายในมาตรา 158 แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่จำต้องสอบสวนพยานหลักฐานของผู้ร้องต่อไปให้ล่าช้าผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมายล้มละลายอันเป็นกฎหมายพิเศษซึ่งต้องการให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยด่วนก็ได้.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลูกหนี้ (จำเลย)ที่ 1 ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 8329 โฉนดเลขที่ 18199 และโฉนดเลขที่ 150333 ถึง150335 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทบีแอนด์ซัน จำกัด ที่ 1 นายธารกุล เสาวพฤกษ์ ที่ 2ลูกหนี้ (จำเลย) ในคดีหมายเลขแดงที่ ล. 153/2527 ของศาลชั้นต้นได้ยื่นคำร้องให้ถอนการยึดทรัพย์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งให้ถอนการยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวด้วยเหตุว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่สินสมรสแต่เป็นกรรมสิทธิ์ของนายธารกุลเสาวพฤกษ์ แต่ผู้เดียว เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2530 ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ได้ยื่นคำร้องว่า ลูกหนี้ที่ 1 กับนายธารกุล ได้อยู่กินฉันสามีภรรยามาตั้งแต่ปี 2521 ฉะนั้นที่ดินโฉนดเลขที่ 18199ซึ่งนายธารกุลรับโอนมาเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2521 โฉนดเลขที่ 150333 ถึง 150335 นายธารกุลรับโอนมาเมื่อวันที่ 2สิงหาคม 2522 อันเป็นเวลาก่อนนายธารกุลกับลูกหนี้ที่ 1 จะจดทะเบียนสมรส แต่เป็นระยะเวลาที่นายธารกุลกับลูกหนี้ที่ 1ได้อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาแล้ว จึงยึดมาชำระหนี้ได้ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 8329 แม้นายธารกุลรับโอนมาโดยทางมรดกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2519 แต่เมื่อปรากฏว่านายธารกุลและลูกหนี้ที่ 1 ได้ประกอบธุรกิจร่วมคือบริษัทบีแอนด์ซัน จำกัดและอีกทั้งเงินที่ลูกหนี้ที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชีไปจากผู้ร้องอันเป็นมูลหนี้ที่ผู้ร้องนำมาฟ้องคดีนี้นั้นปรากฏว่านายธารกุลได้นำเงินดังกล่าวไปใช้ในกิจการของบริษัทบีแอนด์ซัน จำกัดซึ่งเป็นบริษัทของนายธารกุล และนายธารกุลเป็นผู้ดำเนินการให้ลูกหนี้ที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินบัญชีจากผู้ร้อง ถือได้ว่านายธารกุลได้ยินยอมให้สัตยาบันในการที่ลูกหนี้ที่ 1 ไปทำนิติกรรมเบิกเงินเกินบัญชีจากผู้ร้อง นอกจากนี้ยังปรากฏว่าก่อนลูกหนี้ที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีนี้ ได้ดำเนินกิจการร้านอาหารชื่อสนคู่ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวลูกหนี้ที่ 1 และนายธารกุลจึงประกอบอาชีพส่วนตัวร่วมกันเพื่อนำรายได้ไปใช้จ่ายในครอบครัวต้องรับผิดร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วม ฉะนั้นที่ดินทั้ง 5 แปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวย่อมยึดมาชำระหนี้ได้ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำการสอบสวนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายธารกุล ลูกหนี้ที่ 2 ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.153/2527ผู้ร้องขัดทรัพย์และพยานของฝ่ายลูกหนี้ที่ 1 โดยไม่ให้โอกาสผู้ร้องแสดงหลักฐานว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นสินสมรส และมีเหตุอย่างอื่นที่สามารถยึดทรัพย์สินดังกล่าวได้ เป็นการไม่ชอบขอให้ศาลกลับคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ให้ถอนการยึดที่ดินทั้ง 5 แปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และมีคำสั่งว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นสินสมรสหรือเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมระหว่างนายธารกุลกับลูกหนี้ที่ 1 และให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการสอบสวนพยานผู้ร้องต่อไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า ตามทางสอบสวน ลูกหนี้ที่ 1ได้จดทะเบียนสมรสกับนายธารกุลมาตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2523โดยได้อยู่กินฉันสามีภรรยาก่อนจดทะเบียนสมรสเดือนเศษ เมื่อนายธารกุลได้ที่ดินทั้ง 5 แปลงมาก่อนทำการจดทะเบียนสมรสกับลูกหนี้ที่ 1 โดยที่ดินโฉนดที่ 8329 นายธารกุลได้รับโอนมาทางมรดกของบิดาส่วนที่ดินอีก 4 แปลงได้ซื้อจากบุคคลภายนอกและได้ปลูกสร้างตึกแถวในนามส่วนตัว ที่ดินทั้งห้าแปลงดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของนายธารกุลที่ผู้ร้องอ้างว่า นายธารกุลจัดการให้ลูกหนี้ที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับผู้ร้อง และนำเงินไปใช้ในกิจการของบริษัทบีแอนด์ซัน จำกัด ผู้ร้องไม่มีหลักฐานรับฟังไม่ได้ การที่ลูกหนี้ที่ 1 ทำงานในบริษัทบีแอนด์ซันจำกัด และได้ประกอบอาชีพส่วนตัวโดยเปิดร้านอาหารสนคู่นั้นลูกหนี้ที่ 1 และนายธารกุลต่างประกอบอาชีพอิสระไม่เกี่ยวข้องกัน หนี้ที่แต่ละฝ่ายก่อให้เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เกิดจากการประกอบกิจการร่วมกันของสามีภรรยาอันถือได้ว่าเป็นหนี้ร่วม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นกฎหมายพิเศษเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปรวดเร็ว เมื่อมีการคัดค้านการยึดทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รวบรวมพยานหลักฐานในสำนวนประกอบกับพฤติการณ์เพียงพอที่จะทราบความจริงได้ว่าทรัพย์ที่ยึดมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิยึดได้หรือไม่ ย่อมถือได้ว่าเป็นการสอบสวนตามมาตรา 158 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมพิจารณาและมีคำสั่งได้โดยไม่จำต้องให้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ผู้นำยึดตรวจสอบพยานหลักฐานและให้โอกาสโต้แย้งหลักฐานดังกล่าวก่อนแต่ประการใด กระบวนพิจารณาในสำนวนร้องขัดทรัพย์ชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบด้วยกฎหมายแล้วขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าลูกหนี้ที่ 1 ในคดีนี้ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้ล้มละลายแล้วได้จดทะเบียนสมรสกับนายธารกุล เสาวพฤกษ์ ลูกหนี้ที่ 2ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 153/2527 ของศาลชั้นต้น ซึ่งต่อไปเรียกว่าลูกหนี้ที่ 2 ในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์2523 มีบุตรด้วยกัน 2 คน คนแรกชื่อเด็กหญิงศนิ เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2523 ผู้ร้องในคดีนี้เป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 ไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 8329 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการจังหวัดสมุทรปราการ ที่ดินโฉนดเลขที่ 18199 แขวงวังทองหลางเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และที่ดินโฉนดเลขที่ 150333 ถึง150335 แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร รวม 5 โฉนดพร้อมตึกแถวเลขที่ 916/3-4 ซึ่งมีชื่อของลูกหนี้ที่ 2 ในคดีดังกล่าวถือกรรมสิทธิ์เพื่อรวบรวมไว้แบ่งแก่เจ้าหนี้ในคดีนี้ ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 2 ในคดีดังกล่าวยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 คดีนี้ ขอให้ถอนการยึดทรัพย์ดังกล่าว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1สอบสวนแล้วเห็นว่าทรัพย์ที่ยึดไว้ในคดีนี้ทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของลูกหนี้ที่ 2 ในคดีดังกล่าวแต่ผู้เดียว มิใช่สินสมรสหรือลูกหนี้ที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วย ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องเป็นคดีนี้
ปัญหาที่จะวินิจฉัยประการแรกมีว่า การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 ไม่ทำการสอบสวนพยานหลักฐานของผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายก่อนมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด คงสอบสวนพยานฝ่ายเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 2 เพียงฝ่ายเดียวเป็นการชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 158 หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามความในมาตรา 158 แห่งพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ที่ว่า เมื่อผู้มีส่วนได้เสียคัดค้านการยึดทรัพย์ ก็ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวน ฯลฯนั้น มิใช่หมายความถึงกับต้องสอบสวนพยานของผู้ร้องซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วยเสมอไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีดุลพินิจที่จะพิจารณาว่าพยานหลักฐานที่ได้สอบสวนแล้วพอที่จะมีคำสั่งได้แล้วหรือไม่ โดยพิจารณาพยานหลักฐานและพฤติการณ์ที่เพียงพอจะทราบความจริงได้ว่า ทรัพย์ที่ยึดมานั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิยึดหรือไม่ ก็ย่อมถือได้แล้วว่า เป็นการสอบสวนตามความหมายในมาตรา 158 แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1ไม่จำต้องสอบสวนพยานหลักฐานของผู้ร้องต่อไปให้ล่าช้า ผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมายล้มละลายอันเป็นกฎหมายพิเศษ ซึ่งต้องการให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยด่วนอีก ฉะนั้นที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 สอบสวนพยานฝ่ายเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายธารกุลลูกหนี้ที่ 2 ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 153/2527 ของศาลชั้นต้นเพียงฝ่ายเดียว แล้วมีคำสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์ โดยไม่ได้สอบสวนพยานของผู้ร้องนั้น จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายแล้ว”
พิพากษายืน

Share