แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำการละเมิดโจทก์โดยดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องการบังคับคดีและมีคำขอในลักษณะที่จะให้มีการเพิกถอนการบังคับคดี โดยไม่ได้เรียกค่าเสียหายเอาจากจำเลยที่ 1กรณีเช่นนี้โจทก์จะต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง โดยยื่นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีเสร็จสิ้นลงโจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีเป็นคดีใหม่ไม่ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์กล่าวในฟ้องว่า โจทก์เพียงขอซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ยอมขายคืนให้ การที่จำเลยที่ 2จะขายคืนให้โจทก์หรือไม่เป็นสิทธิของจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องได้ที่โจทก์ขอซื้อจึงเป็นเพียงการแสดงเจตนาต่อจำเลยที่ 2 เท่านั้น จำเลยที่ 2จะสนองรับเจตนาของโจทก์หรือไม่จึงอยู่ที่ความพอใจของจำเลยที่ 2เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่สนองรับเจตนาของโจทก์จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 680/2529 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลในคดีดังกล่าวต่อมาโจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนางตุ่น สาจิตต์หรือสาจิตร์นางตุ่นสัญญาว่าจะไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ในกำหนดแต่นางตุ่นได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์และมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์เข้ายึดถือครอบครองตั้งแต่วันซื้อขายแล้ว เมื่อครบกำหนดเวลานางตุ่นไม่ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทโจทก์จึงฟ้องนางตุ่นให้โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ต่อศาลจังหวัดกำแพงเพชรได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยนางตุ่นยอมรับว่าได้ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ได้รับชำระค่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ได้สละสิทธิครอบครอง ส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์เข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์และได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ยึดถือไว้ในวันขาย โดยสัญญาว่าจะไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ในกำหนดดังกล่าวจริง นางตุ่นตกลงรับจะไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในวันที่1 สิงหาคม 2531 เวลา 10 นาฬิกา หากไม่ไปขอให้ถือเอาสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมแทนการแสดงเจตนาของนางตุ่น ศาลจังหวัดกำแพงเพชรพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดครั้นถึงวันนัดโจทก์ได้นำสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมไปยื่นคำขอจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดินอำเภอบรรพตพิสัยแต่ไม่อาจดำเนินการได้ เนื่องจากที่ดินพิพาททางศาลชั้นต้นได้แจ้งการยึดทรัพย์ไว้ สั่งให้ออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล โจทก์ทราบในภายหลังว่า ระหว่างที่โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่นั้น จำเลยที่ 1 กับพวกได้ไปยึดที่ดินพิพาทของโจทก์แต่มิได้ไป ณ ที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1ทำผิดระเบียบวิธีปฏิบัติในการบังคับคดี ยึดที่ดินพิพาทโดยไม่มีต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ไม่ได้ให้นางตุ่นส่งต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือถามหาว่าอยู่กับผู้ใด และยึดที่ดินพิพาทโดยไม่มีหลักฐานประกอบ แล้วประกาศขายทอดตลาดไปจนในที่สุดจำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทได้จากการที่จำเลยที่ 1ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การขายทอดตลาดที่ดินพิพาทตามคำสั่งศาลซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อได้จึงตกเป็นโมฆะ การกระทำของจำเลยที่ 1ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ก่อนฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอบรรพตพิสัยเรียกโจทก์ นางตุ่น และจำเลยที่ 2 ไปเจรจาแล้วแต่ตกลงกันไม่ได้ โจทก์เสนอขอชดใช้ราคาที่จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล จำเลยที่ 2 ไม่ยินยอมการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยไม่สุจริตทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยที่ 2 และบริวารเกี่ยวข้อง การยึดและการขายทอดตลาดทรัพย์ของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่680/2529 เป็นไปโดยไม่ชอบให้ตกเป็นโมฆะ และห้ามมิให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอบรรพตพิสัยจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินพิพาทจนกว่าศาลจะมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว เห็นว่า โจทก์ชอบที่จะดำเนินการต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดี ไม่ชอบที่จะยื่นฟ้องเป็นคดีนี้ สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 มิได้กระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้รับฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าจะต้องรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาหรือไม่ ได้พิจารณาคำฟ้องของโจทก์แล้ว สำหรับจำเลยที่ 1 นั้นโจทก์กล่าวในฟ้องว่าเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องการบังคับคดีและมีคำขอในลักษณะที่จะให้มีการเพิกถอนการบังคับคดี โดยมิได้เรียกค่าเสียหายเอาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งในกรณีนี้นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วว่าให้ผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง โจทก์จึงต้องดำเนินการตามบทกฎหมายดังกล่าวจะฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีเป็นคดีใหม่มิได้ ถึงแม้คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1นั้นจะกล่าวมาในลักษณะที่จำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ แต่โจทก์ก็มิได้เรียกค่าเสียหายมาในคำฟ้อง เช่นนี้คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จึงไม่มีประโยชน์ที่จะรับฟ้องไว้พิจารณาต่อไป ส่วนคำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์กล่าวในฟ้องและฎีกาขึ้นมาว่าโจทก์เพียงขอซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 2ไม่ยอมขายคืนให้ เห็นได้ว่า การที่จำเลยที่ 2 จะขายคืนให้โจทก์หรือไม่นั้นเป็นสิทธิของจำเลยที่ 2 โจทก์มิได้มีสิทธิใด ๆ ที่จะไปบังคับให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องได้ เมื่อจำเลยที่ 2 จะขายหรือไม่เป็นสิทธิของจำเลยที่ 2 การที่โจทก์ขอซื้อจึงเป็นเพียงการแสดงเจตนาของโจทก์ต่อจำเลยที่ 2 เท่านั้น การที่จำเลยที่ 2 จะสนองรับเจตนาของโจทก์ดังกล่าวหรือไม่จึงอยู่ที่ความพอใจของจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่สนองรับเจตนาของโจทก์เช่นนี้ จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยที่ 2 กระทำการอันเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์แต่ประการใด จึงไม่มีกรณีที่จะรับฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน