แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่2รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทของโจทก์ไปจริงโดยเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่1โดยจำเลยที่2ยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทจากโจทก์เพื่อนำไปแสดงยังสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่1ในประเทศญี่ปุ่น และจำเลยที่1ได้รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์แล้วซึ่งตรงกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยทั้งสองยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์จริงหรือไม่ศาลอุทธรณ์จึงมิได้วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5ต่อปีในต้นเงิน225,000บาทนับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่เจ้าของสินค้าที่สูญหายไปคือตั้งแต่วันที่10มกราคม2535ถึงวันฟ้องเป็นเงิน32,250บาทรวมกับต้นเงินเป็นยอดเงินที่โจทก์เรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสองถึงวันฟ้องจำนวน257,250บาทและโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน225,000บาทอัตราร้อยละ7.5ต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์อีกด้วยเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทให้แก่โจทก์หากคืนไม่ได้ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงิน50,000ฟรังก์ฝรั่งเศสหรือเงินไทย257,250บาทแก่โจทก์แสดงว่าโจทก์อุทธรณ์รวมเอาเงินดอกเบี้ยจำนวน32,250บาทอันเป็นดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่10มกราคม2535ถึงวันฟ้องเข้ากับต้นเงินจำนวน225,000บาทมาในฟ้องอุทธรณ์ด้วยแล้วดังนั้นแม้ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์จะมิได้ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน225,000บาทอัตราร้อยละ7.5ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จมาด้วยแต่โดยนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(3)ประกอบด้วยมาตรา246เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควรศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่1ผู้แพ้คดีชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5ต่อปีในต้นเงิน225,000บาทนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยที่1ได้ชำระเสร็จตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบสินค้าผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณทำด้วยมือเย็บถักใส่ผ้าลินิน 1 ชิ้นแก่โจทก์ หากส่งคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ราคาสินค้าคิดเป็นเงินพร้อมดอกเบี้ย 257,250 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทตามฟ้องจากโจทก์ เพียงแต่เมื่อประมาณปี 2533 โจทก์ซึ่งมีสินค้าประเภทผ้าลูกไม้ได้มาเสนอขาย 1 ชุดรวม 40 ชิ้น เพื่อให้จำเลยที่ 1 ส่งไปยังสำนักงานของจำเลยที่ 1ในประเทศญี่ปุ่นพิจารณาผ้าลูกไม้ตัวอย่างที่โจทก์เสนอราคาเพื่อขายไม่มีผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทและโจทก์ได้ระบุราคาไว้ทุกชิ้น ไม่มีผ้าชิ้นใดราคาสูงถึง 50,000 ฟรังก์ฝรั่งเศสจำเลยที่ 2 กระทำในฐานะกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1หรือผู้แทนของจำเลยที่ 1 มิได้ทำในฐานะส่วนตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบสินค้าผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาท 1 ชิ้น คืนโจทก์ หากส่งมอบคืนไม่ได้ให้ใช้เงิน 225,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1ไม่ได้ยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์นั้น เห็นว่าข้อนำสืบของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้มากกว่าข้อนำสืบของจำเลยที่ 1เพราะหากสินค้าที่สูญหายไปเพียงผ้าลูกไม้ตัวอย่างจำนวน 40 ชิ้นตามที่จำเลยที่ 1 นำสืบ เมื่อสินค้าเหล่านั้นสูญหายไป จำเลยที่ 1ซึ่งมีตัวอย่างสินค้าและมีใบเสนอราคาอยู่แล้ว ก็น่าจะทราบราคาสินค้าที่สูญหาย ไม่น่าจะต้องมีจดหมายสอบถามราคาสินค้าที่สูญหายไปยังโจทก์อีก การที่จำเลยที่ 1 มีจดหมายเอกสารหมาย จ.3 หรือ ล.3สอบถามราคาสินค้าซึ่งจำเลยที่ 1 ใช้คำแปลเอกสารหมาย ล.3จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยว่าผ้าลูกไม้ของเก่าที่ทำด้วยมือจากพิพิธภัณฑ์ฝรั่งเศส มีเหตุให้เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้สอบถามราคาสินค้าที่โจทก์ใช้คำแปลเอกสารหมาย จ.3 จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยว่า สินค้าวัตถุโบราณหัตถกรรมจากพิพิธภัณฑ์สถานทำลูกไม้ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งย่อมหมายถึงผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทที่โจทก์ฟ้อง อันเป็นสินค้าที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ยืมไปพร้อมกับสินค้าชิ้นอื่นและโจทก์มิได้กำหนดราคาไว้ในสำเนาใบเสนอราคาเอกสารหมาย ล.2 นั่นเอง ศาลฎีกาจึงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์ และผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทได้สูญหายไปในขณะที่จำเลยที่ 1 นำไปแสดงยังสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 ในประเทศญี่ปุ่นจริง
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นเพราะประเด็นข้อพิพาทกำหนดไว้ว่า จำเลยทั้งสองยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณไปจากโจทก์จริงหรือไม่ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทของโจทก์ไปจริงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงนอกฟ้องนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้นั้น เห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทของโจทก์ไปจริงก็หมายถึงว่า ศาลอุทธรณ์เชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทจากโจทก์เพื่อนำไปแสดงยังสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 ในประเทศญี่ปุ่น และจำเลยที่ 1 ได้รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์แล้ว ซึ่งตรงกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่า จำเลยทั้งสองยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณไปจากโจทก์จริงหรือไม่นั่นเอง ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
สำหรับข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ย ค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความแทนโจทก์ ทั้ง ๆ ที่โจทก์มิได้ขอมาในฟ้องอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้เป็นคำพิพากษาที่เกินไปกว่าที่ปรากฏในฟ้องอุทธรณ์นั้น ในส่วนของดอกเบี้ย เห็นว่าโจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาท นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่เจ้าของสินค้าสูญหายไปคือ ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2535 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 32,250 บาทรวมกับต้นเงินเป็นยอดเงินที่โจทก์เรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสองถึงวันฟ้องจำนวน 257,250 บาท และโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน 225,000 บาท อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์อีกด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงิน50,000 ฟรังก์ฝรั่งเศส หรือเงินไทย 257,250 บาท แก่โจทก์แสดงว่าโจทก์อุทธรณ์รวมเอาเงินดอกเบี้ยจำนวน 32,250 บาทอันเป็นดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2535 ถึงวันฟ้องเข้ากับต้นเงินจำนวน 225,000 บาท มาในฟ้องอุทธรณ์ด้วยแล้วดังนั้น แม้ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์จะมิได้ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน 225,000 บาท อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จมาด้วย โดยนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(3) ประกอบด้วยมาตรา 246 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควร ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ผู้แพ้คดีชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระเสร็จตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้จำเลยที่ 1ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จึงไม่เกินคำขอในฟ้องอุทธรณ์
พิพากษายืน