คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 มิได้จำกัดสิทธิผู้เป็นเจ้าของร่วมมิให้ร้องขอคืนทรัพย์ที่ตนเป็นเจ้าของร่วมที่ศาลสั่งริบ เจ้าของร่วมที่มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดจึงมีสิทธิร้องขอคืนทรัพย์ที่ศาลสั่งริบในส่วนของตนได้กึ่งหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357 จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด1 ปี 6 เดือน และริบของกลางรวมทั้งรถยนต์หมายเลขทะเบียนน-3012 อ่างทอง ส่วนจำเลยอื่นให้โจทก์แยกฟ้องเป็นคดีใหม่
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียนน-3012 อ่างทอง ของกลาง จำเลยที่ 1 กับผู้ร้องเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ขอให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า รถยนต์ของกลางมิใช่ของผู้ร้องแต่เป็นของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันและผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1จึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 กับผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางร่วมกัน ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนของกลาง ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องข้อแรกมีว่ารถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้องแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ เห็นว่าแม้ตามใบคู่มือการจดทะเบียนเอกสารหมาย ร.3 มีชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของ แต่เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงบันทึกแสดงการจดทะเบียนของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับรายละเอียดของรถเท่านั้น หาใช่หลักฐานแสดงว่าผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถนั้นไม่ที่ผู้ร้องเบิกความว่า มารดาผู้ร้องซื้อรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้องนั้นตามคำเบิกความของนางเอิบ ไม้แก้ว มารดาผู้ร้องปรากฏว่านางเอิบเพียงช่วยออกเงินให้ส่วนหนึ่งเป็นเงิน 100,000 บาทเท่านั้น สำหรับเงินค่ารถยนต์ส่วนที่เหลือได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ว่า นำเงินที่ได้จากการที่ผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 ค้าขายร่วมกันไปชำระ เมื่อรถยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องและจำเลยที่ 1 ซื้อมาภายหลังสมรส ด้วยเงินที่ได้มาระหว่างสมรสส่วนหนึ่งและเงินที่มารดา ผู้ร้องออกให้โดยมิได้ระบุว่าออกให้แทนใครอีกส่วนหนึ่ง รถยนต์ของกลางจึงเป็นสินสมรสที่ผู้ร้องกับจำเลยที่ 1มีส่วนเป็นเจ้าของร่วมกันคนละครึ่ง มิใช่ของผู้ร้องเพียงผู้เดียวฎีกาผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยข้อต่อไปมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้อง โดยมิได้วินิจฉัยประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์ว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 เป็นการชอบหรือไม่ในข้อนี้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร่วมในรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิขอให้คืนรถยนต์ของกลางไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของผู้ร้องดังกล่าวนั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36มิได้จำกัดสิทธิผู้เป็นเจ้าของร่วมมิให้ร้องขอคืนทรัพย์ที่ตนเป็นเจ้าของร่วมที่ศาลสั่งริบ เจ้าของร่วมที่มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด จึงมีสิทธิร้องขอคืนทรัพย์ที่ศาลสั่งริบในส่วนที่เป็นของตนได้ คดีนี้หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ศาลย่อมต้องมีคำสั่งให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยปัญหาว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ จึงเป็นการไม่ชอบ และเนื่องจากข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนของผู้ร้องและโจทก์เพียงพอแก่การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวน ซึ่งปัญหานี้ได้ความตามคำพยานผู้ร้องว่า ปกติผู้ร้องและผู้คัดค้านร่วมกันใช้รถยนต์ของกลางในการค้าขายผักสดมีกุญแจรถคนละดอก หากใครต้องการใช้รถสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้อีกคนทราบ วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของกลางไปด้วยกันกับลูกจ้าง แล้วเกิดการกระทำความผิดขึ้นเห็นว่าผู้ร้องมิได้อยู่ด้วยในขณะที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิด ทั้งตามพฤติการณ์ที่ผู้ร้องประกอบอาชีพค้าขายและจำเลยที่ 1 มีสิทธินำรถยนต์คันดังกล่าวไปใช้โดยไม่ต้องบอกกล่าวผู้ร้อง ย่อมมีเหตุให้เชื่อได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1ด้วย หากแต่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดตามลำพัง ดังนั้นรถยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์ต้องริบเพียงกึ่งหนึ่งอีกกึ่งหนึ่งต้องคืนให้แก่ผู้ร้อง ฎีกาผู้ร้องฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง

Share