คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่เป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เจ้าพนักงานได้มีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยออกจากที่ดินที่ตนครอบครองอยู่ภายในระยะเวลาที่กำหนด เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยยังไม่ออกจากที่ดินดังกล่าว แม้จำเลยจะเชื่อโดยสุจริตในขณะเข้าครอบครองว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของตนและที่ดินดังกล่าวมิใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตาม ป.ที่ดินฯ มาตรา 9 (1) และ 108 ทวิ วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่สาธารณะที่ยึดถือครอบครอง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยอธิบดีอัยการเขต 4 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1), 108 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี และปรับคนละ 5,000 บาท พิเคราะห์สภาพความผิด ประกอบกับว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ยึดถือครอบครอง ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่าที่ดินโปงฮ่องหาดตำบลหนองกุง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 100 ไร่ จดทะเบียนเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ใช้ประโยชน์เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์มาตั้งแต่ปี 2494 ต่อมาปี 2536 ทางราชการมีการสำรวจที่ดินสาธารณะและออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงตามเอกสารหมาย จ.3 มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดฐานบุกรุกที่สาธารณะตามประมวลกฎหมายที่ดินหรือไม่ โจทก์มีนายเพลิง ก่ำเกลี้ยง นายบุญรอด ค่าภู และนายอดุลย์ สุขเพิ่ม เบิกความว่า ที่ดินที่เกิดเหตุคดีนี้ที่จำเลยทั้งสองครอบครองอยู่นั้น เดิมเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์เป็นที่สาธารณประโยชน์ตามเอกสารหมาย จ.2 ต่อมาปี 2536 มีการสำรวจที่ดินที่เกิดเหตุแล้วปรากฏว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์ เจ้าพนักงานจึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินที่เกิดเหตุเมื่อปี 2539 ปรากฏตามหนังสือเอกสารหมาย จ.4 จำเลยทั้งสองได้ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้วไม่ยอมออกจากที่ดินที่เกิดเหตุ อ้างว่าที่ดินดังกล่าวมิใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ เห็นว่า นายเพลิงเป็นผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ที่ตั้งที่ดินที่เกิดเหตุตั้งแต่ปี 2536 จนถึงปัจจุบัน ย่อมทราบถึงข้อมูลทางราชการ และข้อมูลตามความเป็นจริงเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายบุญรอดเป็นน้องชายบิดาจำเลยที่ 1 ส่วนนายอดุลย์เป็นเจ้าพนักงานที่ดินเคยรับราชการอยู่ที่สำนักงานที่ดินอำเภอน้ำพอง ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุมาตั้งแต่ปี 2536 จนถึงปี 2540 ไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองและไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสอง เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับเอกสารหมาย จ.2 ที่ระบุว่าที่ดินสาธารณะโปงฮ่องหาดทิศเหนือและทิศใต้จดลำน้ำพองเปรียบเทียบกับรูปถ่ายทางอากาศเอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 2 และ จ.7 แล้ว แม้เนื้อที่ดินจะแตกต่างกันบ้างแต่เนื่องจากได้ทำห่างกันเป็นระยะเวลานานหลายปี น่าเชื่อว่าที่ดินที่เกิดเหตุเป็นที่สาธารณประโยชน์ตามเอกสารหมาย จ.2 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินที่จำเลยทั้งสองครอบครองอยู่เป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เจ้าพนักงานได้มีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินที่ตนครอบครองอยู่ภายในระยะเวลาที่กำหนด เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยทั้งสองยังไม่ออกจากที่ดินดังกล่าว แม้จำเลยทั้งสองจะเชื่อโดยสุจริตในขณะเข้าครอบครองว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของตนและที่ดินดังกล่าวมิใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ก็ตาม การกระทำของจำเลยทั้งสองก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1), มาตรา 108 ทวิ วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share