แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญากู้เงินมีใจความว่ากู้เงินไปจำนวนหนึ่ง สัญญาจะใช้คืนภายในกำหนดและมีข้อความว่าผู้กู้ได้นำนาแปลงหนึ่งมาให้ผู้กู้ยึดถือไว้เป็นปะกันโดยมีบันทึกว่า “นายรายนี้ข้าพเจ้าไม่นำต้นเงินและดอกเบี้ยมาให้ท่านตามสัญญานี้ ข้าพเจ้าขอยอมโอนที่นารายนี้ให้แก่ท่านเป็นกรรมนสิทธิ” ดังนี้ถือว่าเป็นสัญญากู้หนี้ธรรมดาไม่ใช่สัญญาจะซื้อขายที่นาฉะนั้นจึงต้องบังคับตาม ก.ม.ว่าด้วยการยืมใช้สิ้นเปลือง คือ ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 650 เมื่อตกลงกันล่วงหน้าว่าถ้าไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดยอมโอนที่นาให้เป็นกรรมสิทธิจึงเป็นการเอาทรัพย์สินอย่าง อื่นชำระหนี้แทนเงินกันทีเดียวโดยมิได้คำนึงถึงราคาเสียเลย จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 656 วรรค 2 และตกเป็นโมฆะตาม วรรค 3 ผู้ให้กู้จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้บังคับผู้กู้โอนที่นาให้แก่ตนตามสัญญาได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนขายที่นาให้โจทก์ตามสัญญา
จำเลยต่อสู้ว่าเป็นเรื่องกู้เงินแล้วมอบนาให้ทำกินต่างดอกเบี้ย ไม่เคยตกลงขายให้โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญากู้มีใจความว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป ๔๕๐ บาท สัญญาจะใช้คืนภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ และตามสัญญากู้ข้อ ๔ จำเลยได้นำนาแปลงพิพาทมาให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันโดยมีบันทึกว่า “นายรายนี้ข้าพเจ้าไม่นำต้นเงินดอกเบี้ยมาให้ท่านตามสัญญานี้ ข้าพเจ้ายอมโอนที่นารายนี้ให้แก่ท่านเป็นกรรมสิทธิ” ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าสัญญาฉะบับที่กล่าวเป็นสัญญากู้หนี้ธรรมดาจึงต้องบังคับตามกฎหมายว่าด้วยยืมใช้สิ้น เปลืองตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๖๕๐ เรื่องนี้เป็นเรื่องกู้ยืมเงินแต่ตกลงกันล่วงหน้าว่า ถ้าไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดยอมโอนที่นาให้เป็นกรรมสิทธิเป็นการเอาทรัพย์สินอย่างอื่นชำระหนี้แทนเงินกันทีเดียว โดยมิได้คำนึงราคาที่นาเสียเลยเช่นนี้ จึงเป็นการฝ่าฝืนตามมาตรา ๖๕๖ วรรค ๒ ตกเป็นโมฆะตามข้อความในวรรค ๓ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยตามข้อสัญญาดังกล่าวนั้นได้
จึงพิพากษายืน