คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1998/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ปัญหาที่ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิสูจน์กันในทางพิจารณา และไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อฟ้องโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยโดยที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้หาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทั้งที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคดีและเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน1 แปลง อยู่หมู่ที่ 2 ตำบลเมืองที อำเภอเมืองสุรินทร์ มีอาณาเขตตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง โจทก์ได้มาตั้งแต่ปี 2525 โดยใช้ที่ดินอีกแปลงหนึ่งของโจทก์แลกมาจากหมู่บ้านตาเปาว์เจ้าของเดิมเมื่อเดือน มิถุนายน 2530 จำเลยบุกรุกเข้าทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนี้และเก็บใบหม่อนไป 2 หาบ ราคา 200 บาท โจทก์ห้ามจำเลยไม่เชื่อฟัง ขอให้พิพากษาแสดงว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 200 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ได้มาโดยนางมิตร ดวงดีมารดาจำเลย ยกให้เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว จำเลยครอบครองตลอดมาโจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้อง หมู่บ้านตาเปาว์ไม่ใช่นิติบุคคลไม่อาจถือสิทธิในที่ดินได้ จำเลยเก็บใบหม่อนไปเพียง 1 ตะกร้าราคา 10 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 10 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ข้อที่ขอให้พิพากษาแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่พิพาทไม่เป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) เมื่อโจทก์ได้ที่พิพาทมาด้วยการแลกเปลี่ยนแล้วเข้าครอบครองติดต่อกันตลอดมาที่พิพาทจึงตกได้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า ปัญหาว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิสูจน์กันในทางพิจารณา และไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อฟ้องโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองโดยที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้หาได้ไม่ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทั้งที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคดี ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนถึงแม้โจทก์จะไม่ได้ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) สำหรับในปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาท ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ในข้ออื่นอีกต่อไป”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share