คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1992/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ตายใช้อาวุธปืนตบหน้าบุตรจำเลยเป็นบาดแผลมีโลหิตไหลที่ใบหน้า เมื่อบุตรจำเลยวิ่งหนีขึ้นบนบ้าน ผู้ตายซึ่งมีอาวุธปืนยิงติดตามเข้าไปในบ้านอีก แล้วเกิดโต้เถียงกับจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในขณะนั้น ดังนี้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 33และริบของกลางทั้งหมด จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุกจำเลยตลอดชีวิตและให้ริบของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2529 เวลาประมาณ 22.30 นาฬิกา มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นหลายคนจุดประทัดดังขึ้นหลายนัดบริเวณต้นมะขามเทศถนนสวรรค์วิถี ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ ใกล้บ้านซึ่งจ่าสิบตำรวจสมพงษ์ ยิ้มยา ผู้ตาย กับนางจันทนา นาคใยภรรยาผู้ตายมาพักและกำลังกินสุราอาหารอยู่กับพวก ผู้ตายได้เดินออกไปห้ามปรามโดยถืออาวุธปืนพกสั้นมีตราโล่ห์ของทางราชการติดตัวไปด้วย ผู้ตายได้ใช้มือขวาซึ่งถืออาวุธปืนตบหน้านายธงชัย สุขสมศรีบุตรชายจำเลยซึ่งอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวจนบาดเจ็บ มีโลหิตไหลที่ใบหน้าและล้มลง สักครู่นายธงชัยได้ลุกขึ้นวิ่งหนีไปฟ้องจำเลยซึ่งกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ชั้นบนของบ้านพักห่างจากกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวประมาณ 15 เมตร โดยมีผู้ตายถืออาวุธปืนตามนายธงชัยเข้าไปในบ้านจำเลยซึ่งมีภรรยาจำเลยอยู่ด้วย จำเลยได้ใช้อาวุธปืนพกสั้นยิงถูกผู้ตายบริเวณหน้าอกซ้าย 2 นัด ผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตายทันทีตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องมีผู้แจ้งร้อยตำรวจเอกชัยยันต์ เบญจาธิกุล ที่สถานีตำรวจภูธรตำบลปากน้ำโพ เวลาประมาณ 23 นาฬิกา ร้อยตำรวจเอกชัยยันต์ร้อยตำรวจตรีหิรัญ วรทอง กับพวก ไปที่เกิดเหตุพบศพผู้ตายนอนหงายอยู่ชั้นบนใกล้ทางลงบันได บนฝ่ามือขวาผู้ตายมีอาวุธปืนประจำตัวผู้ตายวางอยู่ ร้อยตำรวจเอกชัยยันต์ได้ทำการจับกุมจำเลยและยึดอาวุธปืนพร้อมกระสุนปืนซึ่งใช้ยิงผู้ตายเป็นของกลางคดีมีปัญหาว่า จำเลยยิงผู้ตายโดยป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ได้ความจากนายประสาท หรือแขก ดำรงไชย นางสาวอัน ประภาวิชาจ่าสิบตำรวจดิลก ทัศนะ พลตำรวจธวัช สุวรรณกรณ์ ประจักษ์พยานโจทก์ว่า เมื่อผู้ตายตามนายธงชัยเข้าไปในบ้านจำเลยได้พูดโต้ตอบกับจำเลยสักครู่ จำเลยได้หยิบเอาอาวุธปืนพกสั้นที่เอวผู้ตายไปถือไว้ แล้วต่างเดินขึ้นบนบ้านจำเลย โดยผู้ตายนั่งที่เก้าอี้หมุนกลางห้อง จำเลยพูดต่อว่าที่ผู้ตายทำร้ายนายธงชัย แล้วเดินเข้าไปเอาอาวุธปืนพกสั้นในห้องนอนถือด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายถืออาวุธปืนพกของผู้ตาย ขณะนั้นผู้ตายทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ก็ถูกจำเลยถีบ และใช้อาวุธปืนที่มือขวายิงผู้ตาย 2 นัด เห็นว่าแม้ประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าวจะเบิกความยืนยันว่า ต่างเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยแสงไฟฟ้านีออนหลอดยาวที่บ้านจำเลยชั้นล่าง2 หลอด ชั้นบน 1 หลอด สว่างมองเห็นชัดเจนว่า จำเลยเป็นฝ่ายทำร้ายและยิงผู้ตายซึ่งไม่มีอาวุธปืนแต่อย่างใดก่อนก็ตาม แต่ประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าวก็เบิกความแตกต่างในข้อสำคัญหลายประการ กล่าวคือนายประสาท เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุนายประสาทซึ่งเป็นลูกจ้างส่งนมของจำเลยนั่งคุยอยู่กับนายนิ้งหน่องบุตรเขยจำเลยกับนางสาวอันลูกจ้างจำเลยที่ชั้นล่าง เห็นนายธงชัยบุตรจำเลยวิ่งลงจากบ้านบอกว่าจำเลยให้ไปดูคนจุดประทัด อีก 10 นาทีนายธงชัยวิ่งกลับมา มีโลหิตไหลที่ใบหน้าจำนวนมาก และขึ้นไปฟ้องจำเลยชั้นบนว่าถูกตำรวจซ้อม จำเลยกับนางเพ็ญแขภรรยาเดินลงมาจากชั้นบนอีก 10 นาที ผู้ตายเดินเข้ามาในบ้านทางประตูหลัง จำเลยบอกให้นายนิ้งหน่องบุตรเขยปิดประตูหลังบ้าน แล้วเดินเข้าไปใช้มือขวาหยิบอาวุธปืนพกสั้นที่เอวผู้ตายถือไว้ ผู้ตายพูดท้าทายให้จำเลยยิงจำเลยพูดต่อว่าที่ผู้ตายทำร้ายนายธงชัย ผู้ตายตอบว่าไม่ทราบว่านายธงชัยเป็นบุตรจำเลย จำเลยพูดว่า งั้นไปคุยชั้นบน แล้วใช้มือซ้ายจับต้นแขนขวาพาผู้ตายขึ้นบันไดไปชั้นบน ขณะนั้นนายนิ้งหน่อง นางสาวอันและนายประสาทยืนบนขั้นบันไดเรียงจากบันไดขั้นสูงมาขั้นต่ำตามลำดับ มองเห็นเหตุการณ์ที่ชั้นบน เมื่อจำเลยยิงผู้ตายแล้วก็พูดว่า อย่างนี้เรียกว่าบุกรุก เอาปืนใส่มือมันเสียเลย ขณะนั้นนายนิ้งหน่อง นางสาวอัน นายประสาทวิ่งลงจากบันไดมานั่งอยู่ชั้นล่าง แต่นางสาวอันกลับเบิกความว่าขณะเกิดเหตุนางสาวอันนั่งคุยอยู่กับนายประสาทที่เก้าอี้โซฟาบ้านจำเลยชั้นล่าง มีเสียงประทัดข้างบ้านเห็นนายธงชัยบุตรจำเลยวิ่งออกจากบ้านไป อีกประมาณ 2-3 นาที วิ่งเข้ามาในบ้านอีกมีโลหิตเต็มหน้า นายธงชัยวิ่งขึ้นบนบ้าน ผู้ตายวิ่งถืออาวุธปืนในมือตามขึ้นไป อีก 1 นาที ได้ยินเสียงดังโครมคราม มีเสียงปืนดัง 2 นัด แล้วนายธงชัยวิ่งออกจากบ้านไป อีก 5 นาที ตำรวจมาและตอบคำถามค้านว่า นางสาวอันกับนายประสาทอยู่ด้วยกันตลอดเวลาไม่ได้ดูเหตุการณ์บนบ้านแต่อย่างใด เพราะกลัว นอกจากนางสาวอันเบิกความแตกต่างกับนายประสาทดังกล่าวแล้ว นางสาวอันยังยืนยันว่าตำรวจบังคับให้นางสาวอันลงชื่อในกระดาษเปล่าในชั้นสอบสวนต่อมาตำรวจจึงทำเป็นบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ป.จ.1 สำหรับจ่าสิบตำรวจดิลกกับพลตำรวจธวัชและนางจันทนาภรรยาผู้ตายซึ่งอ้างว่าขณะเกิดเหตุกินสุราอาหารกับผู้ตายและนายไพศาลและต่างเดินตามผู้ตายไปห้ามเด็กวัยรุ่นจุดประทัดจนถึงบ้านจำเลยได้ยืนดูเหตุการณ์บริเวณหน้าต่างบานเกร็ดหน้าบ้านนั้น ก็เบิกความแตกต่างขัดกันเองและขัดกับคำเบิกความนายประสาทและนางสาวอันกล่าวคือ จ่าสิบตำรวจดิลกเบิกความว่า เห็นผู้ตายเดินตามนายธงชัยเข้าไปในบ้านจำเลยชั้นล่าง จำเลยกับภรรยาเดินมาหาผู้ตาย จำเลยให้นายนิ้งหน่องปิดประตูด้านข้างแล้วใช้มือขวาหยิบอาวุธปืนพกสั้นที่เอวผู้ตายมาถือไว้ แล้วพูดว่า ถ้าลูกผู้ชายจริงให้ขึ้นไปคุยกันข้างบน แล้วจำเลยจูงผู้ตายขึ้นไปบนบ้าน มีชายอีก 2 คน หญิง 1 คนตามขึ้นไปบนบ้านด้วย ไม่มีใครยืนตรงบันไดบ้าน ส่วนพลตำรวจธวัชเบิกความว่าเห็นจำเลยจูงแขนผู้ตายขึ้นบนบ้านจำเลย มีชาย 2 คนหญิง 1 คน ขึ้นไปยืนบนบันได ประมาณ 5 นาที ได้ยินเสียงปืนดังบนบ้านจำเลย นายธงชัยวิ่งลงมาจากชั้นบน ส่วนชาย 2 คน หญิง1 คน ดังกล่าวยังยืนอยู่ที่เดิม และนางจันทนาเบิกความว่าขณะนั่งกินสุราอาหารอยู่กับจ่าสิบตำรวจดิลก พลตำรวจธวัชนายไพศาลและผู้ตายก็ได้ยินเสียงประทัดดังนับ 10 ดอก ห่างประมาณ4 เส้น ผู้ตายได้ถืออาวุธปืนเดินไปดู พวกนางจันทนาซึ่งอยู่ในบ้านได้ตามออกไปด้วย เห็นผู้ตายตบนายธงชัย นายธงชัยวิ่งหนีผู้ตายวิ่งตามไปพบจำเลยที่บ้านชั้นล่าง จำเลยพูดขึ้นก่อนว่าให้ไปพูดกันชั้นบน ขณะผู้ตายกำลังขึ้นบันได จำเลยถือโอกาสแย่งอาวุธปืนจากผู้ตายมาถือไว้ แล้วร่วมกับพวกช่วยกันดึงแขนผู้ตายขึ้นบนบ้านจำเลยคนละข้างในลักษณะบังคับโดยจำเลยดึงแขนขวา นางจันทนายืนดูอยู่หน้าประตูบ้านจำเลย มีชาวบ้านดูเหตุการณ์ห่าง ๆ ได้วิ่งย้อนกลับไปบอกจ่าสิบตำรวจดิลกและพลตำรวจธวัชที่บ้านว่าเขาเอาตัวผู้ตายขึ้นบนบ้านจำเลยแล้ว นางจันทนาวิ่งกลับมาดูเหตุการณ์ที่หน้าบ้านจำเลย อีกประมาณ 10 นาที จึงได้ยินเสียงปืนสักครู่นางจันทนาจึงเข้าบ้านจำเลยพร้อมตำรวจหลายนาย นอกจากประจักษ์พยานโจทก์เบิกความแตกต่างขัดกันในข้อสำคัญไม่น่าเชื่อถือดังกล่าวแล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้ตายเป็นตำรวจหน่วยปราบปรามพิเศษชุดฉลามดำ ยศจ่าสิบตำรวจ มีอายุ 38 ปี ไม่น่าจะยินยอมให้จำเลยซึ่งมีอาชีพค้าขายนมสดดึงอาวุธปืนพกของทางราชการซึ่งพกไว้ที่เอวไปแล้วขึ้นไปคุยกับจำเลยกับพวกบนบ้านจำเลยตามลำพังโดยไม่ระแวงภัยอันตรายทั้ง ๆ ที่ผู้ตายได้ใช้อาวุธปืนดังกล่าวตบหน้านายธงชัยจนบาดเจ็บล้มฟุบ และวิ่งมาที่บ้านจำเลยดังกล่าว และถ้าหากจำเลยเป็นฝ่ายมีโอกาสใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายข้างเดียว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องถืออาวุธปืนทั้งสองมือ และเมื่อยิงแล้วถ้าหากจำเลยจะจงใจสร้างหลักฐานว่าถูกผู้ตายใช้อาวุธปืนจ้องจะยิงก่อน ก็ไม่จำเป็นต้องร้องให้พยานโจทก์ได้ยินว่า เอาปืนยัดใส่มือมันเลยดังที่นายประสาทพยานโจทก์เบิกความ ทั้งนอกจากนางจันทนาภรรยาผู้ตายเบิกความยืนยันว่า จ่าสิบตำรวจดิลก กับพลตำรวจธวัชไม่ได้มายืนดูเหตุการณ์ที่หน้าบ้านจำเลยขณะเกิดเหตุแล้ว ตามพฤติการณ์ที่ผู้ตายซึ่งเป็นตำรวจถืออาวุธปืนออกไปดูกลุ่มวัยรุ่นที่จุดประทัดเล่นใกล้บ้าน ไม่น่าจะเป็นเหตุให้จ่าสิบตำรวจดิลก พลตำรวจธวัชและนางจันทนาซึ่งกำลังกินสุราอาหารด้วยกันจะต้องลุกลามไปดูด้วยหากพยานโจทก์ดังกล่าวติดตามไปจนถึงบ้านจำเลยและเห็นเหตุการณ์จริงอย่างน้อยจ่าสิบตำรวจดิลกกับพลตำรวจธวัชซึ่งเป็นตำรวจด้วยกันก็น่าจะติดตามเข้าไปเป็นเพื่อนผู้ตายในบ้านหรือยับยั้งไม่ให้ผู้ตายเดินขึ้นบนบ้านจำเลยโดยลำพัง และเมื่อมีเสียงปืนก็สมควรจะรีบเข้าไประงับเหตุตามวิสัยและหน้าที่ของตำรวจ ข้อเท็จจริงไม่น่าเชื่อว่าประจักษ์พยานโจทก์ทั้ง 5 ปากดังกล่าวเห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ จำเลยนำสืบว่า ขณะจำเลยกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ชั้นบนของบ้านมีเสียงคนจุดประทัดใกล้บ้านจึงบอกให้นายธงชัยบุตรชายไปห้ามปราม อีกประมาณ 5 นาที นายธงชัยวิ่งกลับมาร้องตะโกนขอความช่วยเหลือบอกว่าถูกคนตบด้วยปืนพร้อมกับวิ่งขึ้นมาบนบ้านมีโลหิตเปรอะเปื้อนที่ใบหน้าและเสื้อผ้า มีเสียงคนวิ่งไล่ตามนายธงชัยมาในบ้าน จำเลยจึงเดินเข้าไปหยิบอาวุธปืนสั้นบนที่นอนดึงลูกเลื่อนขึ้นลำเดินออกมา ขณะนั้นพอดีจำเลยวิ่งตามนายธงชัยขึ้นบนบ้านฉวยคอเสื้อนายธงชัยทำท่าจะตบอีก ทั้งยังผลักนางเพ็ญแขสุขสมศรี ภรรยาจำเลยซึ่งเข้าห้ามจนล้มลง และยกอาวุธปืนจ้องเล็งจำเลย จำเลยจึงยิงไปก่อน ในข้อนี้นายธงชัย พยานโจทก์เบิกความเจือสม แต่ได้ความจากนางเพ็ญแขพยานจำเลยว่า ในทันใดที่นายธงชัยร้องขึ้นว่า ป๋าช่วยด้วย มีคนตีผมด้วยปืน นางเพ็ญแขออกมาจากในห้องเดินสวนกับสามีซึ่งเดินเข้าไปในห้อง พอเดินออกมาเห็นนายธงชัยมีโลหิตเปรอะเต็มใบหน้าและที่หน้าอก จึงถามนายธงชัยว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งเดินตามขึ้นมาทำท่าจะใช้ปืนซึ่งถือในมือตีนายธงชัย นางเพ็ญแขบอกว่าอย่า แต่ชายคนนั้นบอกว่าจะสั่งสอนมันพร้อมกับผลักนางเพ็ญแขล้มลง นายธงชัยเข้าประคองนางเพ็ญแข ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัดเห็นชายที่จะตีนายธงชัยล้มลง คำเบิกความนางเพ็ญแขทำให้เห็นว่าจำเลยยิงผู้ตายในขณะที่ผู้ตายผลักนางเพ็ญแขล้มลงเชื่อว่าสาเหตุที่ผู้ตายตามนายธงชัยมาที่บ้านจำเลยก็เพราะผู้ตายเห็นนายธงชัยอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นที่จุดประทัดและเกิดโต้เถียงกันผู้ตายจึงตบหน้า ครั้นนายธงชัยวิ่งหนี ผู้ตายติดตามไปแต่ก็คงไม่มีความประสงค์ที่จะทำร้ายนายธงชัยยิ่งกว่านั้น เพราะถ้าผู้ตายซึ่งมีอาวุธปืนติดตัวตั้งใจจะยิงนายธงชัยก็คงกระทำได้ขณะติดตามนายธงชัยไป เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับคำเบิกความของนายประสาทและนางสาวอันที่ว่าก่อนเสียงปืนดัง ได้ยินเสียงผู้ตายพูดโต้ตอบกับจำเลยตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่า เมื่อจำเลยเห็นนายธงชัยบุตรชายถูกผู้ตายทำร้ายเป็นบาดแผลมีโลหิตไหลที่ใบหน้าวิ่งหนีขึ้นบนบ้านแล้วผู้ตายซึ่งมีอาวุธปืนยิงติดตามเข้ามาในบ้านในระยะกระชั้นชิดอีกจึงเกิดโต้เถียงกันและจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในขณะนั้น การกระทำของจำเลยแม้จะไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และให้จำคุกจำเลยตลอดชีวิตนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วย มาตรา 72 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share