แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) วินิจฉัยว่าการที่ จำเลยที่ 1 ยิงนายฉลองคนร้ายเป็นการกระทำในการจับกุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดในการยิงนายฉลอง แต่กระสุนปืนของ จำเลยที่ 1ในจำนวน 3 นัดที่ยิงนายฉลอง มี 2 นัด ที่พลาดไปถูกนายชูศักดิ์ตายเป็นการป้องกันเกินสมควรกว่าเหตุในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหารฯ มาตรา 54โดยจะวินิจฉัยเสียใหม่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการ ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่ ที่จำเลยที่ 1อ้างถึงการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ก็ไม่ปรากฏตัวผู้บังคับบัญชาผู้ออกคำสั่งโดยแน่ชัดจำเลยที่ 1 จึง ไม่ได้รับนิรโทษกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 449ต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อนายชูศักดิ์(วรรคนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2527)
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจในสังกัดของจำเลยที่ 10จำเลยที่ 1 สกัดจับนายฉลองคนร้ายตามที่ได้รับ วิทยุแจ้งเหตุถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติ หน้าที่ของจำเลย ที่ 1 เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ทำให้ โจทก์ทั้งสามเสียหายจึงเป็นการกระทำละเมิดในหน้าที่การงานซึ่งจำเลยที่ 10 จะต้องร่วมรับผิดด้วยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 จำเลยที่ 10จะโต้เถียงอ้างว่าเป็นการนอกวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับหาได้ไม่
เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ยิงนายฉลองคนร้ายกระสุนพลาดไปถูกนายชูศักดิ์ 2 นัด เป็นบาดแผลฉกรรจ์ที่สามารถทำให้นายชูศักดิ์ถึงแก่ความตายได้ และเกิดจากการกระทำของ จำเลยที่ 1ก่อนบุคคลอื่น แม้จะมีบุคคลอื่นยิงนายชูศักดิ์อีกสองแผลอันเป็นบาดแผลฉกรรจ์และอาจทำให้ นายชูศักดิ์ถึงแก่ความตายได้เช่นเดียวกันเมื่อบุคคล ดังกล่าวมิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิด โดยต่างคน ต่างทำจำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดในความเสียหายทั้งหมดอันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุ ให้นายชูศักดิ์ถึงแก่ความตายจำเลยที่ 1จะอ้างว่า บุคคลอื่นมีส่วนทำละเมิดต่อนายชูศักดิ์มาเป็นเหตุลดหย่อนความรับผิดของตนหาได้ไม่
นายชูศักดิ์เป็นผู้มีสุขภาพดีและไม่มีโรคประจำตัวนอกจากนั้นการแพทย์และการอนามัยในปัจจุบันเจริญขึ้น มากจึงเป็นที่คาดหมายได้ว่านายชูศักดิ์อาจมีอายุยืน ยาวกว่า 60 ปีได้ (นายชูศักดิ์อายุ53 ปีขณะถึงแก่กรรมที่ศาลกำหนดให้ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ที่ 1เดือนละ 8,000 บาท มีกำหนด 10 ปี จึงเป็นการพอควรและเหมาะสม แล้ว
ขณะนายชูศักดิ์ตาย เด็กชายรักษ์และเด็กชายภูมิบุตรนายชูศักดิ์ มีอายุ9 ปี 2 เดือน และ 5 ปี 10 เดือนตามลำดับเด็กชายรักษ์และเด็กชายภูมิชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะตลอดไปจนกว่าอายุจะบรรลุนิติภาวะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564กำหนดเวลาที่ เด็กชายรักษ์และเด็กชายภูมิได้รับชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะแม้ เกิน 10 ปี ก็เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ หาเป็นการขัดกันกับกำหนดระยะเวลาที่โจทก์ที่ 1 ได้รับ ชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะไม่ เมื่อเด็กชายรักษ์และเด็กชายภูมิเจริญเติบโตขึ้นก็จำเป็นต้องได้รับการศึกษาสูงขึ้นและ ได้รับการเลี้ยงดูเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ที่ศาลคิด ถัวเฉลี่ยค่าขาดไร้อุปการะตลอดไปจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะเป็น เงินคนละ 25,000 บาทต่อปีจึงเป็นการพอสมควรและเหมาะสมแก่ฐานะของนายชูศักดิ์ผู้ตายแล้ว
ในวันปลงศพหรือฌาปนกิจศพ นายชูศักดิ์มีการ พระราชทานเพลิงศพมารดาและฌาปนกิจศพเด็กหญิงทรายบุตรผู้ตายซึ่งไม่เกี่ยวกับการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 รวมอยู่ ด้วยก็ตามแต่ความสำคัญอยู่ที่การจัดการศพนายชูศักดิ์ ที่ศาลให้จำเลยที่ 1 รับผิดสองในสามของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปลงศพจึงเป็นการเหมาะสมแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายฉลอง จันทร์วิชัย และนายชูศักดิ์ ภิงคารวัฒน์ ขณะที่อยู่ในรถยนต์โดยเจตนาฆ่า ทั้งนี้เนื่องจากนายฉลองบังคับนายชูศักดิ์และควบคุมตัวเด็กหญิงทราย ภิงคารวัฒน์ บุตรสาวนายชูศักดิ์ เป็นตัวประกันเพื่อนำนายฉลองไปส่งขึ้นรถยนต์โดยสารที่กรุงเทพฯ ไปจังหวัดชัยภูมิ เพื่อหลบหนีคดีฆ่าคนตาย โดยจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ใช้อาวุธปืนยิงทะลุตัวถังและกระจกรถยนต์ถูกนายฉลอง นายชูศักดิ์และเด็กหญิงทรายถึงแก่ความตาย อันเป็นการจงใจกระทำโดยผิดต่อกฎหมาย ซึ่งจำเลยที่ ๑๐ ในฐานะนายจ้างหรือตัวการต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ผลแห่งการละเมิดดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นภรรยานายชูศักดิ์ ขาดไร้อุปการะจากนายชูศักดิ์ เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๒๔ ปี เป็นเงิน ๕,๗๖๐,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ ในนามเด็กชายรักษ์และเด็กชายภูมิ ภิงคารวัฒน์ บุตรโจทก์ที่ ๑ อันเกิดจากนายชูศักดิ์ขอคิดค่าขาดไร้อุปการะจากนายชูศักดิ์เป็นเงิน ๒,๒๖๖,๐๕๐ บาท สำหรับเด็กหญิงทรายเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วอาจให้อุปการะแก่โจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นมารดาเป็นเวลาอย่างน้อย ๓ ปี ปีละ๒๔,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๑ จัดการศพนายชูศักดิ์เสียค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างอื่นเป็นเงิน ๘๕๖,๖๙๕ บาท รถยนต์ของโจทก์ที่ ๓ เป็นรถใหม่ได้รับความเสียหายทั้งคันไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้การได้ต่อไปขอคิดตามราคารถในขณะฟ้องเป็นเงิน ๘๒๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสามพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายชูศักดิ์และมิใช่มารดาของเด็กชานรักษ์เด็กชายภูมิและเด็กหญิงทราย โจทก์ที่ ๓ ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุจำเลยทั้งเก้ามิได้ร่วมกันฆ่านายชูศักดิ์และเด็กหญิงทราย นายฉลองเป็นผู้ใช้ปืนยิงเด็กหญิงทรายจนถึงแก่ความตาย และยิงบุคคลอื่นรวมทั้งจำเลยทั้งเก้า จำเลยทั้งเก้าต้องเข้าทำการจับกุมคนร้ายตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ที่นายชูศักดิ์ถึงแก่ความตายเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยและเป็นการเข้าใจผิดทั้งเป็นการป้องกันและปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยทั้งเก้ามิได้ร่วมกันฆ่านายชูศักดิ์และเด็กหญิงทรายค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องเกินความเป็นจริง นายชูศักดิ์ไม่เคยอุปการะครอบครัว โจทก์ที่ ๑ เรียกค่าขาดอุปการะจากนายชูศักดิ์เป็นเวลา ๒๔ ปี เป็นการคาดการณ์ในอนาคตไม่แน่นอนนายชูศักดิ์มิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายรักษ์และเด็กชายภูมิโจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยทั้งเก้าชดใช้ค่าขาดอุปการะแก่โจทก์ที่ ๒และโจทก์ที่ ๒ เรียกร้องได้ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๑ เรียกค่าสินไหมทดแทนจากการตายของเด็กหญิงทรายได้ไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ค่าปลงศพนายชูศักดิ์ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งเก้าไม่ได้ทำให้รถยนต์คันเกิดเหตุเสียหาย รถดังกล่าวอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ หากจะเสียหายก็ไม่เกิน ๑,๐๐๐บาท ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าเด็กหญิงทรายถูกกระสุนปืนของจำเลยทั้งเก้าหรือนายฉลอง ค่าเสียหายก็กล่าวลอย ๆ ไม่บรรยายว่าเสียหายอย่างไร เท่าใดเป็นฟ้องเคลือบคลุม
จำเลยที่ ๑๐ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ไม่ใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๑๐ แต่มีความสัมพันธ์กันตามกฎหมายปกครอง กระกระทำของจำเลยทั้งเก้าเป็นเรื่องเฉพาะตัว และนอกวัตถุประสงค์ นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑๐ ไม่แน่ว่าเด็กหญิงทรายถูกกระสุนของผู้ใดจำเลยที่ ๑๐ ไม่ต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งการละเมิด ค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ รวมทั้งค่าปลงศพของนายชูศักดิ์ โจทก์เรียกรวมกันมาโดยไม่มีรายละเอียด จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ที่ ๑ เรียกค่าขาดไร้อุปการะได้ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เรียกค่าขาดไร้อุปการะได้ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐บาท ค่าปลงศพเรียกได้อย่างสูงไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์เกี่ยวกับการตายของเด็กหญิงทราย จำเลยที่ ๑๐ ไม่ต้องรับผิดชอบในค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์ที่ ๑ เกี่ยวกับการตายของเด็กหญิงทราย รถคันดังกล่าวอาจซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิมได้ ค่าซ่อมไม่เกิน๒๐,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสามพร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้องโจทก์สำหรับคดีจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๐
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ ๑๐ ร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๑๐ ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมแก่โจทก์ทั้งสามโดยลดจำนวนค่าสินไหมทดแทนลง
โจทก์ทั้งสามฎีกาขอให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๑๐ ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด
จำเลยที่ ๑ และที่ ๑๐ ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีอาญาซึ่งจำเลยที่ ๑ กับพวกรวมเก้าคนถูกฟ้องต่อศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๖๐๒๐/๒๕๒๒ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ได้พิพากษาโดยฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าจำเลยที่ ๑ ยิงนายฉลองคนร้ายเป็นการกระทำในการจับกุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๓ จำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิดในการยิงนายฉลองแต่กระสุนปืนของจำเลยที่ ๑ ซึ่งยิงนายฉลองจำนวน ๓ นัด มี ๒ นัดที่พลาดไปถูกนายชูศักดิ์เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหารฯ มาตรา ๕๔ โดยจะวินิจฉัยเสียใหม่ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่ ส่วนข้อที่จำเลยที่ ๑ อ้างถึงการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่ปรากฏตัวผู้บังคับบัญชา ผู้ออกคำสั่งโดยแน่ชัด จำเลยที่ ๑ จึงไม่ได้รับนิรโทษกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๙ ต้องฟังว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อนายชูศักดิ์
จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานในสังกัดของจำเลยที่ ๑๐ จำเลยที่ ๑สกัดจับนายฉลองคนร้ายตามที่ได้รับวิทยุแจ้งเหตุ ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์ทั้งสามเสียหาย จึงเป็นการกระทำละเมิดในหน้าที่การงาน ซึ่งจำเลยที่ ๑๐ จะต้องร่วมรับผิดด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖ จำเลยที่ ๑๐จะโต้เถียงอ้างว่าเป็นการนอกวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับหาได้ไม่
เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ยิงนายฉลองคนร้ายกระสุนพลาดไปถูกนายชูศักดิ์ ๒ นัด เป็นบาดแผลฉกรรจ์ที่สามารถทำให้นายชูศักดิ์ถึงแก่ความตายได้และเกิดจากกระทำของจำเลยที่ ๑ ก่อนบุคคลอื่น แม้จะมีบุคลลอื่นยิงนายชูศักดิ์อีกสองแผลอันเป็นบาดแผลฉกรรจ์และอาจทำให้นายชูศักดิ์ถึงแก่ความตายได้เช่นเดียวกันเมื่อบุคคลดังกล่าวมิได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑กระทำผิดโดยต่างคนต่างทำ จำเลยที่ ๑ ก็ต้องรับผิดในความเสียหายทั้งหมด อันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑เป็นเหตุให้นายชูศักดิ์ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๑ จะอ้างว่าบุคคลอื่นมีส่วนทำละเมิดต่อนายชูศักดิ์มาเป็นเหตุลดหย่อนความรับผิดของตนหาได้ไม่
นายชูศักดิ์เป็นผู้มีสุขภาพดีและไม่มีโรคประจำตัว นอกจากนั้นการแพทย์และอนามัยในปัจจุบันเจริญขึ้นมาก จึงเป็นที่คาดหมายได้ว่านายชูศักดิ์อาจมีอายุยืนยาวกว่า ๖๐ ปีได้ (นายชูศักดิ์อายุ ๕๓ ปีขณะถึงแก่กรรม) ที่ศาลกำหนดให้ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ที่ ๑ เดือนละ๘,๐๐๐ บาท มีกำหนด ๑๐ ปี จึงเป็นการพอควรและเหมาะสมแล้ว
ขณะนายชูศักดิ์ตาย เด็กชายรักษ์และเด็กชายภูมิบุตรนายชูศักดิ์มีอายุ ๙ ปี ๒ เดือน และ ๕ ปี ๑๐ เดือนตามลำดับ เด็กชายรักษ์และเด็กชายภูมิชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะตลอดไปจนกว่าอายุจะบรรลุนิติภาวะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๔ กำหนดเวลาที่เด็กชายรักษ์และเด็กชายภูมิได้รับชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะแม้เกิน ๑๐ ปี ก็เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ หาเป็นการขัดกับกำหนดระยะเวลาที่โจทก์ที่ ๑ ได้รับชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะไม่ เมื่อเด็กชายรักษ์และเด็กชายภูมิเจริญเติบโตขึ้นก็จำเป็นต้องได้รับการศึกษาสูงขึ้นและได้รับการเลี้ยงดูเพิ่มมากขึ้นตามลำดับที่ศาลคิดถัวเฉลี่ยค่าขาดไร้อุปการะตลอดไปจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะเป็นเงินคนละ ๒๕,๐๐๐ บาทต่อปี จึงเป็นการพอสมควรและเหมาะสมแก่ฐานานุรูปของนายชูศักดิ์ผู้ตายแล้ว
ในวันปลงศพหรือฌาปนกิจศพนายชูศักดิ์ผู้ตายมีการพระราชทานเพลิงศพมารดาและฌาปนกิจศพเด็กหญิงทรายบุตรผู้ตาย ซึ่งไม่เกี่ยวกับการการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ รวมอยู่ด้วยก็ตาม แต่ความสำคัญอยู่ที่การจัดศพนายชูศักดิ์ผู้ตาย การที่ศาลให้จำเลยที่ ๑ รับผิดสองในสามของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปลงศพจึงเป็นการเหมาะสมแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑๐ ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๑,๗๕๘,๖๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยและร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์