คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1990/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นบริษัทจำกัด จัดตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่จะก่อสร้างดำเนินกิจการโรงแรมและสำนักงานทันสมัย และมีความประสงค์จะให้ธนาคารตั้งที่ทำการในอาคารพาณิชย์ที่โจทก์จะสร้างขึ้นนั้นด้วย จำเลยเป็นธนาคารพาณิชย์ จดทะเบียน มีสำนักงานใหญ่ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทย เมื่อโจท์ได้ทำการก่อสร้างอาคารได้เสนอให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทต่อผู้จัดการธนาคารจำเลยสาขาในประเทศไทย ผู้จัดการธนาคารจำเลยสาขาในประเทศไทยได้ไปดูสถานที่ที่โจทก์เสนอให้เช่า แล้วมีการเจรจากัน ต่อมาผู้จัดการธนาคารจำเลยสาขาในประเทศไทยมีหนังสือยืนยันว่าธนาคารจำเลยประสงค์จะเช่าอาคารของโจทก์ตามที่เจรจากัน แต่ขอให้โจทก์แจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อแจ้งไปยังสำนักงานใหญ่ โจทก์ได้แจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมไป ธนาคารจำเลยได้ขอร้องให้เพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างอีกหลายอย่างโจทก์ก็จัดการให้ ทั้งนี้ โดยโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่า อำนาจในการเช่าอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารจำเลย หาใช่อยู่ในอำนาจผู้จัดการธนาคารจำเลยสาขาในประเทศไทยไม่ ดังนี้ แม้ผู้จัดการธนาคารจำเลย สาขาในประเทศไทยจะเป็นตัวแทนสำนักงานใหญ่ติดต่อเช่าอาคารพิพาทก็ตาม แต่โจทก์จำเลยยังมิได้ตกลงกันในเรื่องราคาค่าเช่าเป็นที่แน่นอน ซึ่งจำเลยถือว่าเป็นข้อสาระสำคัญอันจะต้องได้รับอนุมัติจากสำนักงานใหญ่ก่อน และผู้จัดการธนาคารจำเลยสาขาในประเทศไทยก็ยังมิได้รับอนุมัติจากสำนักงานใหญ่ให้เช่าอาคารพิพาทด้วย จึงถือว่าโจทก์จำเลยยังไม่มิได้มีสัญญาต่อกัน แม้โจทก์จะได้ก่อสร้างอาคารไปตามที่ผู้จัดการธนาคารจำเลยสาขาในประเทศไทยกำหนดหรือแก้ไขแบบแปลนในระหว่างเจรจากัน ก็เป็นเรื่องที่โจทก์กระทำไปเพื่อจูงใจให้ธนาคารจำเลยเช่าอาคารพิพาท หรือเชื่อว่าสำนักงานใหญ่ธนาคารจำเลยจะอนุมัติให้เช่าอาคารพิพาท โจทก์จึงจะเรียกค่าเสียหายจำเลยหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ใจความว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการค้า จำเลยเป็นนิติบุคคล จดทะเบียน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบการอนาคารพาณิชย์ ตั้งสำนักงานสาขาในประเทศไทย เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๐๙ โจทก์ได้ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ขึ้นที่วงเวียนศาลาแดงและได้เสนอให้จำเลยเช่าอาคารที่ก่อสร้างส่วนหนึ่งเพื่อใช้เป็นสำนักงานสาขาของจำเลยในประเทศไทย จำเลยโดยผู้จัดการใหญ่และเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ตรวจอาคารที่กำลังก่อสร้างอยู่ แล้วให้โจทก์เสนอหลักการและอัตราค่าเช่าเป็นหนังสือเพื่อให้สำนักงานใหญ่ของจำเลยพิจารณาโจทก์ได้เสนอหลักการและอัตราค่าเช่าไปยังจำเลย โดยมีหนังสือติดต่อกันหลายครั้ง ผลที่สุดจำเลยได้สนองรับข้อเสนอของโจทก์ที่จะเช่าอาคารดังกล่าว และโจทก์ได้ลงมือก่อสร้างอาคารที่จำเลยตกลงจองซึ่งจะแล้วเสร็จตามกำหนด จำเลยยังได้ให้ทนายความร่างสัญญาเช่าอาคารไปให้โจทก์ตรวจแก้ด้วย แต่ต่อมาวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๑๑ จำเลยกลับมีหนังสือแจ้งมายังโจทก์ว่าไม่สามารถเช่าอาคารของโจทก์ได้ ซึ่งมิได้ความผิดของโจทก์
การที่จำเลยตกลงให้โจทก์จัดการสร้างอาคารเป็นพิเศษ เพื่อใช้เป็นสำนักงานของจำเลยนั้น เมื่อจำเลยปฏิเสธไม่เช่าอาคารตามที่ตกลงกันเป็นการผิดสัญญา โจทก์ต้องเปลี่ยนแปลงอาคารดังกล่าวมาอยู่ในสภาพอาคารพาณิชย์ เพราะหาผู้เช่าซึ่งเป็นธนาคารไม่ได้ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน ๓,๖๕๖,๘๔๕ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ประสงค์จะให้อาคารที่เสนอให้จำเลยเช่าเป็นที่ทำการธนาคารอยู่ก่อนแล้ว มีแบบแปลนและเคยเสนอให้ธนาคารเชสแมนฮัตตันเช่าก่อน เมื่อโจทก์และธนาคารเชนแมนฮัสตันไม่ตกลงกัน โจทก์จึงเสนอให้จำเลยเช่า ในการติดต่อเกี่ยวกับอาคารของโจทก์ จำเลยก็ได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้วว่า ผู้จัดการสาขากรุงเทพฯ ของจำเลยไม่มีอำนาจที่จะตกลงได้ตามลำพัง แต่จะต้องส่งข้อเสนอไปให้สำนักงานใหญ่พิจารณา และสำนักงานใหญ่เป็นผู้ตัดสินว่าจะเช่าอาคารของโจทก์หรือไม่ ร่างสัญญาก็เป็นการเตรียมไว้เพื่อที่จะตกลงกัน แต่ไว้เว้นว่างสาระสำคัญต่าง ๆ ไว้ก่อน เพราะยังตกลงกันไม่ได้ ต่อมาสำนักงานใหญ่ เห็นว่าข้อเสนอของโจทก์เป็นข้อเสนอที่เอาเปรียบ กลับไปกลับมา ไม่ตรงตามความประสงค์ของจำเลย จึงได้บอกปัดข้อเสนอของโจทก์ การเจรจาติดต่อระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่ได้ตกลงในสาระสำคัญแห่งสัญญาหมดทุกข้อ และจำเลยมิได้ตกลงเด็ดขาดว่าจะทำสัญญากับโจทก์ ทั้งยังไม่ได้ทำสัญญาเช่ากันเป็นหนังสือ ถือว่ายังไม่มีสัญญาต่อกัน และจำเลยยังมิได้ตกลงให้โจทก์ทำการปลูกสร้างแต่อย่างใด การก่อสร้างของโจทก์หากมีจริง ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ฉวยโอกาสเสี่ยงเอง จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์มิได้เสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์มีหนังสือตามเอกสารหมาย จ.๘ ถึงจำเลยเสนอค่าเช่าอาคารรายพิพาท อัตราถัวเฉลี่ยตารางเมตรละ ๙๐ บาท จำเลยมีหนังสือเอกสารหมาย จ.๑๐ ขอลดค่าเช่าเหลือตารางเมตรละ ๘๕ บาท โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๑๑ ยอมลดค่าเช่าเหลือตารางเมตรละ ๘๕ บาท แต่ขอคิดค่าเช่าที่จอดรถสำหรับลูกค้าของจำเลยอีกเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๑๒ ว่า จำเลยไม่สามารถรับข้อเรียกร้องของโจทก์ในเรื่องค่าเช่าที่จอดรถเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท เมื่อจำเลยบอกปัดคำเสนอของโจทก์ในเรื่องค่าเช่าที่จอดรถดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้มีหนังสือตอบจำเลยเกี่ยวกับเรื่องค่าเช่าที่จอดรถอีก การที่โจทก์ตอบตามเอกสารหมาย จ.๑๑ ว่ายอมลดค่าเช่าเหลือตารางเมตรละ ๘๕ บาทนั้น จะถือว่าโจทก์สนองรับตามเอกสารหมาย จ.๑๑ เกิดความผูกพันเป็นสัญญาหาได้ไม่ เพราะยังมีคำเสนอของโจทก์เรื่องค่าเช่าที่จอดรถขึ้นมาด้วย จึงต้องถือว่าเอกสารหมาย จ. ๑๑ เป็นคำบอกปัดไม่รับและเป็นคำเสนอขึ้นใหม่ด้วยในตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๕๙ วรรคสอง เมื่อจำเลยตอบมาตามเอกสารหมาย จ.๑๒ ปฏิเสธคำเสนอของโจทก์ คำเสนอของโจทก์จึงเป็นอันสิ้นความผูกพัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๕๗ ทั้งจำเลยจะต้องได้รับอนุมัติจากสำนักงานใหญ่ก่อน จึงจะมีอำนาจเช่าได้ จำเลยยังไม่มีความผูกพันจะต้องเช่าอาคารโจทก์และไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นต่อไป พิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ทราบอยู่แล้วอำนาจในการที่จะตกลงเช่าอาคารรายพิพาทอยู่ที่สำนักงานใหญ่ธนาคารจำเลย การที่โจทก์ก่อสร้างอาคารไปตามที่ผู้จัดการธนาคารจำเลยสาขประเทศไทยหรือผู้แทนกำหนดหรือแก้ไขแบบแปลนหรือตามที่เจรจากัน ทั้ง ๆ ที่สำนักงานใหญ่ธนาคารจำเลยยังไม่อนุมัติให้เช่าอาคารตามที่โจทก์กับธนาคารจำเลยสาขาประเทศไทยเจรจาตกลงกันนั้น เป็นการกระทำไปเพราะเชื่อว่าสำนักงานใหญ่ธนาคารจำเลยตกลงเช่าอาคารของโจทก์ หากสำนักงานใหญ่ธนาคารจำเลยไม่เช่า โจทก์ก็สามารถให้ธนาคารอื่นเช่าอาคารของโจทก์ได้ โจทก์จะเรียกค่าเสียหายจากธนาคารจำเลยไม่ได้ พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่า สำนักงานใหญ่ธนาคารจำเลยเป็นผู้พิจารณาว่าจะเช่าอาคารพิพาทหรือไม่ และอำนาจในการเช่าที่พักสำนักงานใหญ่ โจทก์จำเลยยังมิได้ตกลงกันในเรื่องราคาเช่าเป็นที่แน่นอน ซึ่งจำเลยถือเป็นข้อสาระสำคัญที่จะต้องได้รับอนุมัติจากสำนักงานใหญ่ก่อน และผู้จัดการธนาคารจำเลยสาขาในประเทศไทยก็ยังมิได้รับอนุมัติจากสำนักงานใหญ่ให้เช่าอาคารพิพาทด้วย แล้ววินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ถือว่าโจทก์จำเลยยังไม่มิได้มีสัญญาต่อกัน แม้โจทก์จะได้ก่อสร้างอาคารไปตามที่ผู้จัดการธนาคารจำเลยสาขาในประเทศไทยกำหนดหรือแก้ไขแบบแปลนในระหว่างเจรจากันก็ได้ความว่าโจทก์มีโครงการตั้งสถานที่ทำการในอาคารพิพาทตั้งแต่แรก จึงเป็นเรื่องที่โจทก์กระทำไปเพื่อจูงใจให้ธนาคารจำเลยเช่าอาคารพิพาท หรือเชื่อว่าสำนักงานใหญ่ธนาคารจำเลยจะอนุมัติให้เช่าอาคารพิพาท โจทก์จึงจะเรียกค่าเสียหายจำเลยหาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
(กฤษณ์ โสภิตกุล ยงยุทธ เลอลภ ธวัช สิทธิชัย)

Share