คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1255/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิด อ้างว่าจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าน. ได้โอนที่ดินและบ้านให้แก่โจทก์ แต่จำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านดังกล่าวขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอีกเรื่องหนึ่ง แต่โจทก์นำสืบพยานหลักฐานรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้รู้เรื่องที่ น. ได้โอนที่ดินและบ้านให้โจทก์ตั้งแต่ก่อนนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านดังฟ้อง ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่าเมื่อ น.ได้จำนองที่ดินไว้กับโจทก์แล้ว น. ได้ปลูกบ้านในที่ดินที่จำนองสองครั้ง เป็นบ้านสองหลังแฝดติดกัน น. อยู่ที่บ้านหลังซึ่งได้ปลูกก่อนที่โจทก์อ้างว่าได้โอนให้ตนแล้ว และเมื่อโจทก์ฟ้องคดีเรื่องนี้แล้ว น. ยังเป็นเจ้าของบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งได้ปลูกภายหลัง เช่นนี้เห็นได้ว่า ย่อมทำให้จำเลยเข้าใจว่าบ้านสองหลังแฝดนั้นยังเป็นของ น. จึงได้นำยึดบ้านโดยสุจริตใจ การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายหนิวได้จดทะเบียนโอนที่ดินที่ได้จำนองกับบ้านหนึ่งหลังซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินชำระหนี้จำนองให้แก่โจทก์ จำเลยซึ่งทราบดีอยู่แล้วว่านายหนิวลูกหนี้จำเลยได้โอนที่ดินกับบ้านให้แก่โจทก์ดังกล่าว ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีศาลจังหวัดตราดไปยึดบ้านหลังนี้ และไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดบ้าน และผู้ซื้อได้รื้อบ้านไป ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์คิดเท่ากับราคาบ้านเป็นเงิน 15,000 บาท

จำเลยให้การว่า นายหนิวได้จำนองแต่ที่ดินไว้กับโจทก์ ไม่ได้จำนองบ้านด้วย ฯลฯ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 15,000 บาทแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า บ้านที่จำเลยนำยึดยังเป็นของนายหนิววินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธินำยึดชำระหนี้ได้ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิด อ้างว่าจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่า นายหนิวได้โอนที่ดินกับบ้านให้แก่โจทก์ แต่จำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดตราดไปยึดบ้านดังกล่าวขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอีกเรื่องหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่าแม้รับฟังว่านายหนิวได้โอนบ้านให้โจทก์แล้วก็ตาม แต่โจทก์นำสืบพยานหลักฐานรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้รู้เรื่องที่นายหนิวได้โอนที่ดินและบ้านให้โจทก์ ตั้งแต่ก่อนนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านดังฟ้อง ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่าเมื่อนายหนิวจำนองที่ดินไว้กับโจทก์แล้ว นายหนิวได้ปลูกบ้านในที่ดินซึ่งได้จำนองสองครั้งเป็นบ้านสองหลังแฝดติดกันนายหนิวอยู่ในบ้านหลังซึ่งได้ปลูกก่อนที่โจทก์อ้างว่าได้โอนให้ตนแล้ว และแม้เมื่อโจทก์ฟ้องคดีเรื่องนี้แล้ว นายหนิวยังเป็นเจ้าของบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งได้ปลูกภายหลัง เช่นนี้ เห็นได้ว่าย่อมทำให้จำเลยเข้าใจว่าบ้านสองหลังแฝดนั้นยังเป็นของนายหนิว จึงได้นำยึดบ้านโดยสุจริตใจ ฯลฯ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์

พิพากษายืน

Share