แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1ผู้ออกตั๋วและจำเลยที่ 2 ผู้รับอาวัล ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้เงินได้ ไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของ ป.พ.พ. มาตรา 944 ที่จะต้องนำตั๋วยื่นเพื่อให้ใช้เงินภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ลงในตั๋ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน32,527.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน27,965 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 30,614.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 26,320 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่ได้ทวงถามให้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1เคยกู้เงินโจทก์แต่ชำระแล้วคงค้างเพียง 3,420 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกฎหมาย เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 27,965 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2527และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในต้นเงิน 26,320 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยดังกล่าว กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 600 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะไปว่ากล่าวฟ้องร้องตามมูลหนี้เดิมอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีต่อกัน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 983บัญญัติให้ตั๋วสัญญาใช้เงินต้องมีรายการวันถึงกำหนดใช้เงิน ถ้าไม่ระบุเวลาใช้เงิน จึงให้ถือว่าพึงใช้เงินเมื่อได้เห็นตามมาตรา 984วรรคสอง และตามมาตรา 985 วรรคแรก บัญญัติให้นำมาตรา 913 ในหมวด 2ว่าด้วยตั๋วแลกเงินมาใช้บังคับในเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงินเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ด้วย ซึ่งตามมาตรา 913 บัญญัติวันถึงกำหนดใช้เงินไว้ใน (3) ว่า “เมื่อทวงถามหรือเมื่อได้เห็น”ตั๋วสัญญาใช้เงินรายพิพาทนี้ระบุเวลาใช้เงินไว้เมื่อทวงถาม ข้อที่จะต้องพิจารณาจึงมีว่า คำว่า “เมื่อทวงถามหรือเมื่อได้เห็น” ตามมาตรา 913(3) นี้ มีความหมายอย่างเดียวกันตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา 913(3) ได้ใช้คำว่า “หรือ”คั่นกลางระหว่างคำว่า “เมื่อทวงถาม” กับคำว่า “เมื่อได้เห็น”ซึ่งแสดงความหมายว่า วันถึงกำหนดใช้เงินเมื่อทวงถามกับเมื่อได้เห็นนั้น แตกต่างกัน ความหมายที่ต่างกันนี้จะเห็นได้ชัดขึ้นต่อไปว่าถ้าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อได้เห็น ผู้ทรงต้องนำตั๋วยื่นเพื่อให้ใช้เงิน โดยต้องยื่นให้ใช้เงินภายในกำหนดเวลา ซึ่งบังคับไว้เพื่อการยื่นให้รับรองตั๋วเงินชนิดให้ใช้เงินในเวลาใดเวลาหนึ่งภายหลังได้เห็นนั้น ตามมาตรา 944 ซึ่งอนุโลมมาใช้แก่ตั๋วสัญญาใช้เงินได้เพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพของตราสารชนิดนี้ตามมาตรา 985 วรรคแรก และผู้ทรงตั๋วแลกเงินที่ให้ใช้เงินเมื่อได้เห็น ซึ่งต้องนำตั๋วยื่นเพื่อให้ใช้เงินภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 944 นั้นก็คือกำหนดเวลายื่นตั๋วเพื่อให้รับรองภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ลงในตั๋ว หรือภายในเวลาช้าเร็วกว่านั้นตามแต่ผู้สั่งจ่ายจะได้ระบุไว้ตามมาตรา 928 แต่จะเห็นได้ว่ามาตรา 928นี้มิให้นำมาใช้แก่ตั๋วสัญญาใช้เงินตามมาตรา 985 วรรคแรก จะนำมาตรา 928 มาใช้แก่ตั๋วสัญญาใช้เงินได้ในกรณีเดียวเท่านั้น ตามมาตรา 986 วรรคสอง คือ ตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งให้ใช้เงินในเวลาใดเวลาหนึ่งภายหลังได้เห็น แสดงว่าผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินที่จะต้องนำตั๋วยื่นให้ผู้ออกตั๋วจดรับรู้เพื่อรับรองการจ่ายเงินเฉพาะตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดที่ให้ใช้เงินในเวลาใดเวลาหนึ่งภายหลังได้เห็นตามมาตรา 913(4) เท่านั้น และผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อได้เห็นตามมาตรา 913(3) ตอนท้าย เพียงแต่นำตั๋วยื่นต่อผู้ออกตั๋วเพื่อให้ใช้เงินเช่นเดียวกันตามมาตรา 944 แต่ผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อทวงถามตามมาตรา 913(3)ตอนต้นนั้น บทบัญญัติในหมวด 3 ว่าด้วยตั๋วสัญญาใช้เงิน ไม่มีบทบัญญัติบังคับไว้อย่างกรณีตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อได้เห็น หรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ นับแต่ได้เห็นตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นเลย จึงต้องถือว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ให้ใช้เงินเมื่อทวงถามมีความหมายและผลบังคับต่างกับตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อได้เห็น ฉะนั้นเมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินรายพิพาทนี้ระบุเวลาใช้เงินไว้เมื่อทวงถาม จึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 944 ประกอบด้วยมาตรา 985 วรรคแรก ที่ผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินต้องนำตั๋วยื่นเพื่อให้ใช้เงินภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ลงในตั๋ว ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ทั้งบทบัญญัติในหมวด 3 ว่าด้วยตั๋วสัญญาใช้เงิน ก็ไม่มีบทบัญญัติบังคับให้ต้องทวงถามภายในระยะเวลาเท่าใด ผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อทวงถามจึงใช้สิทธิทวงถามให้ใช้เงินในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ โจทก์ได้บรรยายมาในคำฟ้องแล้วว่าโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสองใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินรายพิพาททั้ง 6 ฉบับ ดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้พิจารณาพิพากษาในปัญหาตามที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ จึงเห็นสมควรให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาในปัญหาดังกล่าว
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีและพิพากษาใหม่ค่าฤชาธรรมเนียมศาลฎีกาในชั้นนี้ ให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่”