แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่จะนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีของศาลก็คือโจทก์และจำเลยเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเข้าเบิกความต่อศาลในคดีอาญาเรื่องก่อนในฐานะเป็นพยานโจทก์ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ส่งหลักฐานมีดของกลางแก่พนักงานสอบสวนจำเลยทั้งสองมิได้เป็นโจทก์หรือจำเลยในคดีดังกล่าว จึงไม่อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นสองสำนวนขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเบิกความเท็จ และนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๑๗๒,๑๗๓, ๑๗๔ วรรคสอง และมาตรา ๘๓, ๙๑, ๑๗๗, ๑๘๐ ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองอาจเป็นความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๐ หรือไม่นั้น เมื่อพิเคราะห์ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๐ ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒(๓)(๑๔), ๑๗๔ แล้ว ผู้ที่จะนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีของศาลได้ก็คือโจทก์และจำเลยเท่านั้นปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเข้าเบิกความต่อศาลในคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งในฐานะพยานโจทก์ และจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ส่งหลักฐานมีดของกลางแก่พนักงานสอบสวนเท่านั้น จำเลยทั้งสองมิได้เป็นโจทก์หรือจำเลยในคดีดังกล่าว จึงไม่อาจมีความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๐ ได้
พิพากษายืน.