แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ศาลจะมีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดเกี่ยวกับที่ดินมรดกว่าให้จำเลยแบ่งที่ดินมรดกแก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 4 ส่วนหรือให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดินแก่โจทก์ส่วนละ 1,250 บาท หรือมิฉะนั้นให้ขายที่ดินทั้งแปลงเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วนก็ตาม ในการบังคับคดีจำเลยจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามลำดับของคำพิพากษาทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยไม่สามารถจะแบ่งที่ดินมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามตามคำพิพากษาได้ ดังนี้ จำเลยจะเลือกวิธีการนำเงินค่าที่ดินมาชำระให้โจทก์ส่วนละ 1,250 บาท โดยโจทก์ไม่ตกลงด้วยไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกของบิดามารดาซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลย และให้จำเลยชดใช้เงินค่าขาดผลประโยชน์อีกจำนวนหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินมรดกออกเป็น 4 ส่วนให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วน หรือให้จำเลยชำระค่าที่ดินให้โจทก์ส่วนละ 1,250 บาท หรือมิฉะนั้นให้ขายที่ดินทั้งแปลงนำเงินมาแบ่งกันตามส่วน คดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจึงวางเงินเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา 3,750 บาท ส่วนโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลนัดพร้อมเพื่อโจทก์จำเลยจะได้เจรจาตกลงกันในเรื่องการแบ่งที่ดินมรดกตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยนำเงินที่จะต้องชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษามาวางศาลไว้แล้ว ถือว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดินมรดก ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินมรดกมีข้อความดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นก็ตาม ในการบังคับคดีจำเลยจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามลำดังของคำพิพากษา ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยไม่สามารถที่จะแบ่งที่ดินมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามได้ตามคำพิพากษา เหตุดังกล่าวจำเลยจะเลือกวิธีการนำเงินค่าที่ดินชำระแก่โจทก์ส่วนละ 1,250 บาท โดยโจทก์ไม่ตกลงด้วยไม่ได้
พิพากษากลับคำสั่งและคำพิพากษาศาลล่าง