แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าขับไล่จำเลยโดยอาศัยสัญญาเช่าอาคารระหว่างโจทก์กับวัดบางขวาง ฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2525 เป็นหลักแห่งข้อหา ส่วนคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอาศัยเหตุจากสัญญาเช่าอาคารระหว่างโจทก์กับวัดบางขวาง ฉบับลงวันที่ 29 สิงหาคม 2522 จึงเป็นคนละเหตุแม้จะเป็นประเด็นอย่างเดียวกันก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
แม้โจทก์เป็นผู้เช่าไม่เคยเข้าครอบครองตึกแถวพิพาทแต่โจทก์มีคำขอให้ศาลเรียกวัดบางขวางเข้าเป็นโจทก์ร่วมมาพร้อมกับคำฟ้องของโจทก์และวัดบางขวางซึ่งเป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในภายหลัง โดยถือเอาคำฟ้องเดิมของโจทก์ทั้งหมดเป็นคำฟ้องของตนหรือเป็นคำฟ้องส่วนหนึ่งของโจทก์ร่วม เมื่อศาลอนุญาตแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้องคำเนินคดีกับจำเลยได้
จำเลยเข้าอยุ่อาศัยในตึกแถวพิพาทโดยเช่าช่วงจาก ล. เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่า สิทธิการเช่าระงับไป สิทธิการเช่าช่วงย่อมระงับตามไปด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวพิพาทซึ่งโจทก์เช่าจากวัดบางขวางตามหนังสือสัญญาเช่าท้ายฟ้อง และเรียกค่าเสียหาย
ก่อนจำเลยยื่นคำให้การ โจทก์ขอให้เรียกวัดบางขวางเข้าเป็นโจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องว่า ตึกแถวพิพาทเป็นของโจทก์ร่วม เดิมให้นางลิ้ม ตั่งยะฤทธิ์เช่า นางลิ้มให้จำเลยเช่าช่วงมีกำหนด ๑ ปี ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมขนย้ายออก ต่อมานางลิ้มโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ โจทก์ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วม และบอกกล่าวให้จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยโจทก์ร่วมอาจถูกโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย จึงขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชี้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การว่า โจทก์ร่วมไม่มีสิทธิให้ความยินยอมให้โจทก์ดำเนินคดีกับจำเลย และข้ามาในคดีหลังจากจำเลยยื่นคำให้การทำให้จำเลยเสียเปรียบ จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทจากนางลิ้มมากว่า ๑๐ ปี โจทก์ทำสัญญากับโจทก์ร่วมภายหลังโจทก์ร่วมไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องและโจทก์ไม่เคยครอบครองตึกแถวพิพาท
จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๓๒๓ – ๓๒๔/๒๕๒๓ ของศาลขั้นต้น โจทก์เสียหายไม่เกินเดือนละ ๘๐ บาท
ระหว่างพิจารณาคู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยานบุคคล ขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยตามพยานเอกสารที่โจทก์และโจทก์ร่วมอ้าง และรับกันว่าโจทก์ได้รับค่าเสียหายเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวพิพาทให้ส่งมอบตึกแถวพิพาทแก่โจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหาย
แก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากตึกแถวพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วม
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องคดีก่อนหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าดับวัดบางขวางซึ่งเป็นผู้ให้เช่าตามสัญญาอาคารฉบับลงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๒๕ เอกสารหมาย จ.๑ เป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ให้บังคับขับไล่จำเลย ส่วนคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดแล้ว โจทก์ฟ้องโดยอาศัยเหตุจากสัญญาเช่าอาคารระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่ากับวัดบางขวางซึ่งเป็นผู้ให้เช่า ตามสัญญาเช่าอาคารฉบับลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๒๒ จึงเป็นคนละเหตุแม้จะเป็นประเด็นอย่างเดียวกันก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ปัญหาต่อไปที่ต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เห็นว่าแม้โจทก์เป็นผู้เช่ายังไม่เคยเข้าครอบครองตึกแถวพิพาทเลย แต่โจทก์ก็มีคำขอให้ศาลเรียกวัดบางขวางเข้าเป็นโจทก์ร่วมมาพร้อมกับคำฟ้องของโจทก์ และวัดบางขวางซึ่งเป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในภายหลัง โดยถือเอาคำฟ้องเดิมของโจทก์ทั้งหมดเป็นคำฟ้องของตนหรือเป็นคำฟ้องส่วนหนึ่งของโจทก์ร่วม เมื่อศาลอนุญาตแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้องดำเนินคดีกับจำเลยได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๙๐/๒๕๑๘ ระหว่างบริษัททรง จำกัด โจทก์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โจทก์ร่วม นายมงคล มหกิจไพศาล จำเลย และคำพิพากษา ฎีกาที่ ๓๐๒/๒๕๓๐ ระหว่างนางสมจิตร ศิริสะอาด โจทก์ นางสาวอำภา ขคัตตรยาพงษ์ที่ ๑ กับพวกรวม ๖ คน จำเลย ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยเข้าอยู่อาศัยในตึกพิพาทโดยเช่าช่างจากนางลิ้ม ตั่งยะฤทธิ์ เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว สิทธิการเช่าระงับไป สิทธิในการเช่าช่วงย่อมระงับตามไปด้วย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น