แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า สถานที่เกิดเหตุเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติส่วนแนวเขตเพิกถอนปรากฏตามสำเนากฎกระทรวงและภาพถ่ายแผนที่แนบท้ายกฎกระทรวงที่แนบท้ายฟ้อง แม้ตามกฎกระทรวงจะมีการเพิกถอนป่าแม่แตง บางส่วนออกจากการเป็นป่าสงวน ก็ถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุ ครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 14 พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 แล้ว และเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงเป็นการรับรวมไปถึงว่าสถานที่ที่จำเลยบุกรุกอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างเดือนใดไม่ปรากฏชัด ในปี 2529 ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2533 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยได้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถางป่าแม่แตงบริเวณหมู่ที่ 6 ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่อันเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ คิดเป็นเนื้อที่ 20 ไร่ 50 ตารางวาโดยจำเลยเข้าไปขุดดินเป็นขั้นบันได ขุดบ่อน้ำ จำนวน 1 บ่อ ปลูกกระท่อมจำนวน 1 หลัง และเตรียมพื้นที่เพื่อปลูกชา อันเป็นการกระทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งนี้ โดยจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตและมิได้รับยกเว้นตามกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4, 5, 6, 8, 9,14, 31 วรรคแรก กฎกระทรวง ฉบับที่ 493 (พ.ศ. 2515) และกฎกระทรวงฉบับที่ 924 (พ.ศ. 2523) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 ให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4, 5, 6, 8, 9, 14, 31วรรคแรก กฎกระทรวง ฉบับที่ 493 (พ.ศ. 2515) และกฎกระทรวง ฉบับที่924 (พ.ศ. 2523) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา78 กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือนและให้จำเลยกับบริวารออกไปจากป่าสงวนที่ยึดถือครอบครองด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพิเคราะห์แล้ว “ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุ จึงไม่ทราบว่าที่เกิดเหตุนั้นยังเป็นป่าสงวนหรือไม่เพราะโจทก์บรรยายฟ้องว่ามีกฎกระทรวงเพิกถอนป่าแม่แตงออกจากการเป็นป่าสงวนแห่งชาติบางส่วนมาด้วยนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า สถานที่เกิดเหตุเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติส่วนแนวเขตเพิกถอนปรากฏตามสำเนากฎกระทรวงและภาพถ่ายแผนที่ท้ายกฎกระทรวงที่แนบมาท้ายฟ้อง เป็นข้อเท็จจริงครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงเป็นการรับรวมไปถึงว่าสถานที่ที่จำเลยเข้าบุกรุกแผ้วถางนั้นอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.