คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1986/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีภริยาอยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ได้ชักชวนผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 16 ปี ให้หนีไปอยู่กับจำเลยแล้วจะมาขอขมาภายหลัง แต่ก็หาได้ไปขอขมาไม่ แสดงว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยงดูเป็นภริยาจริงจัง ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันพรากพานางสาวอุดมลักษณ์อายุ 16 ปี ผู้เยาว์ผู้เสียหายไปเสียจากบิดา โดยร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงว่าจะพาไปเลี้ยงดูเป็นภริยาของจำเลยที่ 1 แล้วร่วมกันพาผู้เสียหายไปเพื่อหากำไร เพื่อการอนาจารโดยนำไปขายยังสถานการค้าประเวณี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 12

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 12 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้พรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดาโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย แล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 พูดชักชวนให้ผู้เสียหายหนีไปอยู่กับจำเลยที่ 1 ก่อนแล้วจะนำผู้เสียหายมาขอขมาต่อบิดาผู้เสียหายในภายหลังนั้น ปรากฏว่าในขณะที่จำเลยที่ 1 พูดชักชวนผู้เสียหายนั้น จำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 เป็นภริยาอยู่กินด้วยกันเป็นตัวตนอยู่แล้วแต่มิได้จดทะเบียนสมรสกัน และการที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำชำเราผู้เสียหายในเวลาต่อมาโดยผู้เสียหายยินยอมนั้นก็เพราะผู้เสียหายยังหวังที่จะให้จำเลยที่ 1 พาไปขอขมาต่อบิดาผู้เสียหายอยู่ แต่ในที่สุดจำเลยที่ 1 ก็หาได้พาผู้เสียหายไปขอขมาต่อบิดาผู้เสียหายไม่ แสดงว่าจำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปนั้น จำเลยที่ 1 ไม่ได้ตั้งใจจะพาไปเลี้ยงดูเป็นภริยาจริงจัง ผู้เสียหายต้องเร่ร่อนไปอยู่ในที่หลายแห่งจนทนอยู่ต่อไปไม่ได้ จึงได้โทรเลขถึงมารดาให้พากลับบ้าน เช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 แล้วว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319

พิพากษายืน

Share